“รมว.ศธ.”ระบุปี 2563 นำร่องโรงเรียนสองภาษากว่า 2,000 โรงเรียน เริ่มตั้งแต่ชั้นปฐมวัย ส่วนปีการศึกษา 2564 เตรียมงบหนุนโครงการนี้ต่อเนื่องแล้ว เป้าหมายเพื่อวางรากฐานทักษะภาษาเด็กไทยให้ดีขึ้น รองรับการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว หลังนานาชาติ-ไอเอ็มเอฟ มั่นใจไทยมีศักยภาพ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 โดยหลายประเทศได้พูดถึงประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)ก็ได้มีการพูดถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้วย ขณะเดียวกันมีหลายประเทศที่ได้พูดถึงปัญหาที่ประเทศไทย จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเช่น เรื่องการจัดการศึกษาที่ยังต้องปรับปรุง เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ตรงกับแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการที่กำลังดำเนินการพัฒนาเรื่องดังกล่าวอยู่ “กระทรวงศึกษาธิการหวังว่า การวางรากฐานด้านการศึกษาในเรื่องต่างๆ จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานได้ เพราะในอนาคตประเทศจะต้องเตรียมตัวเรื่องการลงทุนที่จะมีเพิ่มมากขึ้นจากการเปิดประเทศ ดังนั้นคนของเราก็จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆด้าน ทั้งทักษะอาชีพ และทักษะด้านภาษา” สำหรับการพัฒนาทักษะด้านภาษานั้นตั้งใจว่าในระยะเวลาสั้น โรงเรียนประจำอำเภอจะต้องสอน 2 ภาษา ซึ่งในปัจจุบันมีหลายโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนในลักษณะนี้ แต่อาจจะยังขาดความเข้มข้น ไม่สามารถเห็นผลเชิงประจักษ์ได้ “หากมีการจัดสรรงบประมาณลงทุนไปในส่วนของการสอนภาษาที่ 2 มากขึ้นจะส่งผลให้การวางฐานเรื่องทักษะภาษาของเราดีขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากงบของกระทรวงศึกษาธิการที่มีในปัจจุบันยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้ในทุกโรงเรียนทั่วประเทศ แต่ผมจะพยายามที่จะขับเคลื่อนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ทั้งนี้การขับเคลื่อนโครงการนี้จะเริ่มที่กลุ่มโรงเรียนประจำอำเภอ ประมาณ 2,000 แห่ง ในปีภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ก่อน ซึ่งจะจัดการเรียนการสอน 2 ภาษา ตั้งแต่ชั้นปฐมวัยเป็นต้นไป ส่วนการดำเนินงานในปีการศึกษา 2564 ได้เตรียมงบเพื่อรองรับเรื่องนี้แล้ว ขณะที่ในส่วนของอาชีวศึกษา ก็จำเป็นต้องพัฒนาทักษะอาชีพ และทักษะภาษาควบคู่กันไป ซึ่งเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะสรุปข้อมูลการจัดกลุ่มวิทยาลัยให้เข้ากับกลุ่มธุรกิจต่างๆมาให้ตนเองดู เพื่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมที่มีคุณภาพในแต่ละสายงานให้เป็นหลัก ส่วนการจัดวิทยาลัยจะมองถึงบริบทในพื้นที่ด้วย เพราะต้องมีสถานที่ฝึกงานที่ใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นการใช้งบที่ตรงกับความต้องการ และยังสามารถผลิตแรงงานได้อย่างมีคุณภาพ โดยจากข้อมูลดัชนีความสามารถภาษาอังกฤษคนไทยร่วงต่อเนื่อง 3 ปี โดยอยู่ในระดับต่ำมาก(Very Low Proficiency)ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 74 ของโลก แม้ดีกว่ากัมพูชา และเมียนมา แต่ด้อยกว่ามาเลเซีย จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย หากเทียบเป็นรายภาคของประเทศไทย ภาคเหนือ และภาคกลางจะมีความสามารถทางภาษาอังกฤษ สูงกว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้เล็กน้อย ขณะที่กรุงเทพฯมีความเชี่ยวชาญทักษะภาษาอังกฤษมากที่สุดของประเทศ รองลงมาคือ นนทบุรี เชียงใหม่ ชลบุรี และขอนแก่น ตามลำดับ