นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า สมาคมฯได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ริมคลองสอง เขตสายไหม กรุงเทพมหานครว่า ได้รับความเดือดร้อนจากการที่สำนักการโยธาได้อนุญาตให้บริษัทเอกชนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่กำลังจะสร้างหมู่บ้านจัดสรรขาย ได้ก่อสร้างสะพาน ค.ส.ล.ข้ามคลองสอง บริเวณ ซ.พหลโยธิน 54/1 ซึ่งเป็นคลองสาธารณะประโยชน์ที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันในการสัญจรทางน้ำ อีกทั้งรัฐบาล โดยกรุงเทพมหานคร มีนโยบายไล่รื้อบ้านเรือนประชาชนริมคลองให้ออกไปจากแนวคลองเป็นจำนวนมาก โดยอ้างว่าชาวบ้านปลูกบ้านรุกล้ำแนวคลอง เป็นปัญหาและอุปสรรคในการระบายน้ำ และหรือการบริหารจัดการน้ำ แต่ทว่าในทางกลับกันสำนักการโยธากลับอนุญาตให้เอกชนทำการก่อสร้างสะพานข้ามคลองสองดังกล่าว ซึ่งการใช้อำนาจดังกล่าวเป็นการย้อนแย้งต่อนโยบายของรัฐบาลและ กทม. เสียเอง อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มีการตอกตอม่อหรือเสาสะพานขัดขวางการไหลของน้ำและเป็นอุปสรรคต่อการไหลและสัญจรทางน้ำของประชาชนเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นในช่วงเทศกาลลอยกระทงปีนี้ ชาวบ้านจะไม่สามารถลอยกระทง ให้ล่องลอยไปตามสายน้ำได้ เพราะมีสะพานดังกล่าวขวางกั้นอยู่ อีกทั้งแนวสะพานต่ำเตี้ยติดน้ำเกินไป ไม่สามารถสัญจรลอดผ่านไปได้ เป็นการสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนที่มีความต้องการใช้การสัญจรทางน้ำโดยชัดแจ้ง สำหรับการดำเนินการดังกล่าว ไม่มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามที่กฎหมายกำหนด ไม่มีการทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ซึ่งขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ อาทิ ม.117 ของ พรบ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย 2456 แก้ไข (ฉบับที่ 17) 2560 ประมวลกฎหมายที่ดิน ม.9 โดยการเข้าไปยึดถือครองที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เช่น ที่ริมตลิ่ง ทางน้ำ คลอง ฯลฯ ซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่ดินและกฎหมายอาญา มีอัตราโทษจำคุก 3 ปี ถึง 5 ปี ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของ กทม. ที่จะต้องระงับการก่อสร้างที่ก่อให้เกิดเหตุเดือดร้อนต่อประชาชน แต่ กทม.กลับเพิกเฉย เชื่อว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ในโครงการจัดสรรที่ดินของเอกชน ทั้ง ๆ ที่พื้นที่ดังกล่าวสามารถเข้า-ออกได้ทางซอยประชานุกูลเพื่อไปออกสะพานข้ามคลองสาธารณะที่อยู่ใกล้กันประมาณ 100 เมตรกว่าได้อยู่แล้ว ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมฯจะนำความพร้อมหลักฐานไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เพื่อเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องในวันจันทร์ที่ 11 พ.ย.62 นี้เวลา 10.30 น. ณ สำนักงาน ป.ป.ช. จ.นนทบุรี นายศรีสุวรรณกล่าวในที่สุด