“น้ำตาท่วมวัด” ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ที่วัดลำพญา เมื่อศพของชาวบ้านผู้”พลีชีพ” จำนวน 9 ศพ ถูกนำมา เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่ โดยข้อเท็จจริง หลังการเกิดเหตุที่ ชรบ , อรบ, ผรส. และ อื่นๆ ซึ่งถูก แนวร่วม ขบวนการแบ่งแยกดินแดน บุกเข้าโจมตี จุดตรวจ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 15 ศพ และ บาดเจ็บสาหัสอีก 5 คน น้ำตาของ คนในพื้นที่ ต.ลำพญา ก็”ท่วมใจ” มาตั้งที่คืนเกิดเหตุ ซึ่งเป็น”น้ำตา” แห่งความสูญเสีย และ “คับแค้น” กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็คงจะไม่ต้องไป กล่าวโทษใคร เพราะถึงจะกล่าวโทษกัน ถึงความ”ล้มเหลว” ในการแก้ปัญหา”ไฟใต้” ก็ไม่ได้ช่วยให้ คนตายฟื้นคืน และไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่สิ่งที่ต้องถามไถ่กันให้รู้เรื่องคือ หน่วยงานความมั่นคง จะดำเนินการอย่างไร ต่อกองกำลังท้องถิ่น หรือบรรดา ประชาชนอาสา ที่เรียกว่า ชรบ. และ อรบ. ซึ่งเป็น กองกำลังท้องถิ่น ที่ รัฐฝึกอบรมและติดอาวุธ ให้ทำหน้าที่ รักษาความสงบในหมู่บ้าน และที่สำคัญคือ มีเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมา ขบวนการ บีอาร์เอ็น ไม่ได้”เอาจริง” กับ เป้าหมาย กองกำลังท้องถิ่น อย่าง ชรบ และ อรบ. เพียงแต่ทำการ”หยอกเอิน”เล่นๆ ด้วยการ จับมัด จับขัง และ ยึดอาวุธ ซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นปืนลูกซองยาว และปืนสั้นส่วนตัวไปเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับที่จะเอาชีวิต อย่างที่เกิดขึ้นที่ป้อมยาม “ทางลุ่ม ต.ลำพญา เพราะถ้า บีอาร์เอ็น เอาจริงกับ กำลังติดอาวุธภาคประชาชน อย่าง ชรบ. เหมือนอย่างที่กระทำกับ ชรบ. ทางลุ่ม เชื่อได้ว่า ชรบ. เหล่านั้น ไม่มีทางสู้ หรือทำได้ก็คือ”สู้ตาย” อย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไร กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องอย่าให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่2 ดังนั้น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องเร่งดำเนินการในการ ป้องกัน อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และอย่าเชื่อว่า บีอาร์เอ็น จะไม่มีการปฏิบัติการ แบบเดียวกับจุดตรวจ ชรบ.ทางลุ่ม เพราะขึ้นชื่อว่า “โจรแบ่งแยกดินแดน” สามารถทำทุกอย่าง เพื่อให้สมประโยชน์กับ ขบวนการ ดังนั้น ถ้า บีอาร์เอ็น เดินหน้ากับเป้าหมายที่เป็น ชรบ. และ อรบ. ความสูญเสียครั้งที่ 2 ที่ 3 อาจจะติดตามมา อ่านข่าวพาดหัวตัวเป้ง ของหนังสือพิมพ์บางฉบับ “ปลุกชาวบ้านสู้ไฟใต้” จากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงไม่เข้าใจว่า วิธีคิดให้ ชาวบ้านสู้กับโจร เป็นวิธีคิดที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะโดยสภาพที่แท้จริงนั้น ชาวบ้านในพื้นที่ เป็น “มุสลิม” 90 เปอร์เซ็น ส่วนผู้แบ่งแยกดินแดนเป็นมุสลิม 100 เปอร์เซ็น เมื่อคนในพื้นที่ส่วนใหญ่กับ แนวร่วม ขบวนการ ผู้ก่อการ เป็นคนใน”เผ่าพงศ์” เดียวกัน การที่จะปลุกให้คนที่เป็น”เผ่าพงศ์”เดียวกัน ลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้นั่น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก และที่สำคัญ การใช้ความ รุนแรง โหดร้าย ที่ บีอาร์เอ็น ใช้กับคนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับตนเอง หรือเป็น”ศัตรู” กับ บีอาร์เอ็นนั้น ย่อมทำให้ คนส่วนใหญ่ หวาดกลัว ยอมที่จะอยู่นิ่งๆ ยอมที่จะตกอยู่ใน อิทธิพล และ เชื่อฟัง คำข่มขู่ของ บีอาร์เอ็น เพื่อการ”อยู่รอด” ของตนเอง และครอบครัว หรือจะปลุกให้คน”ไทยพุทธ” ลุกขึ้นสู้กับ บีอาร์เอ็น ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากวันนี้ จำนวน”ไทยพุทธ”ที่เคยมีในพื้นที่3 จังหวัด 200,000 คน วันนี้เหลือไม่ถึง 60,000 คน และยังมีการ”อพยพ”เรื่อยๆ ตามสถานการณ์ที่ยังรุนแรง วันนี้คน”ไทยพุทธ” อยู่ในสภาพ”ชุมชนถดถอย” การที่จะลูกขึ้นสู้กับ บีอาร์เอ็น คือการเป็น”แมงเม่า” บินเข้ากองไฟชัดๆ ข้อเท็จจริง วันนี้ “สายข่าว” ของ เจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็น”ไทยพุทธ” และ”มุสลิม” ไม่ว่าจะเป็น ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ที่เป็น “มือข่าว” ให้กับ หน่วยงานของรัฐ ยังต้องถูก”ปลิดชีพ” เป็นว่าเล่น ดังนั้น การที่จะ ปลุกให้ คนในพื้นที่ ซึ่งเป็นกลุ่มคน”ส่วนน้อย” ลุกขึ้นต่อสู้ ก็เหมือนกับ การขอร้อง ให้ คนในพื้นที่ ลุกขึ้น ประณาม บีอาร์เอ็น ซึ่ง ประณาม มาแล้ว 15 ปี ไม่ได้ทำให้ บีอาร์เอ็น สำนึกถึงความ ผิดบาป แต่อย่างใด และที่สำคัญ การปลุกให้คนในพื้นที่ ลุกขึ้นมาสู้กับ บีอาร์เอ็น หรือ ยืนอยู่กับฝ่ายเจ้าหน้าที่ ใครจะ”การันตีได้ว่า เขาจะ ปลอดภัย จากการเป็น”เหยื่อ” สถานการณ์ และที่สำคัญ อาจจะทำให้ ช่องว่าง ระหว่าง คนสองศาสนิก ถ่างออกยิ่งขึ้นหรือไม่ ซึ่งอาจจะไปเข้าทาง เข้าแผนของ บีอาร์เอ็น ที่กำลังสร้าง”สังคมเชิงเดี่ยว” ให้เกิดขึ้นเร็วยิ่งขึ้นหรือไม่ สิ่งที่ รัฐบาล กองทัพ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าต้องทำ จึงไม่ใช่ ปลุกเร้า ให้คนในพื้นที่ ลุกขึ้นต่อสู้กับ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน บีอาร์เอ็น เพราะ การปลุกให้คนในพื้นที่ลุกขึ้นสู้ นอกจากไม่สำเร็จแล้ว ยังอาจจะนำไปสู่ความ”ขัดแย้ง” ที่มากขึ้นอีกด้วย ที่ปัญหา”ไฟใต้” ผ่านมา 15 ปี เข้าสู่ปีที่ 16 แต่ยังเต็มไปด้วยความรุนแรง เป็นเพราะที่ผ่านมา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คิดเพียง การแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้คิดที่จะ สลายความ”ขัดแย้ง” ซึ่ง เป็น”รากเหง้า” ในพื้นที่ ซึ่งดำรงอยู่อย่างยาวนาน และที่สำคัญ ในขณะที่ปัญหาความรุนแรง ไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ปัญหาความ”ขัดแย้ง” กับเพิ่มมากขึ้น ถามกันหน่อยได้ไหมว่า รัฐบาล และ กองทัพ ใช้ นโยบาย การทหารนำการเมือง เพื่อดับ”ไฟใต้”มาถึง 15 ปี เมื่อ”ไฟใต้” ไม่มีวี่แววว่าจะดับ ทำไมจึงไม่มีการเปลี่ยนแนวทางในการแก้ปัญหา เช่นใช้ การเมือง นำการทหารดูบ้าน ซึ่งความรุนแรง จะลดหรือไม่ยังไม่ทราบ แต่ความ”ขัดแย้ง” ต้องลดน้อยลงแน่นอน การใช้ กฎหมาย พิเศษ มาถึง 15 ปี ถามว่านอกจากเป็น”เงื่อนไข” ให้ บรรดา นักสิทธิมนุษย์ชน และภาคประชาสังคม ทั้งในพื้นที่ ในประเทศ และ ต่างประเทศ โจมตี รัฐบาล โจรตี หน่วยงานความมั่นคงแล้ว ถามว่า กฎหมายพิเศษเหล่านี้ ส่งผลกระทบกับ “โจรใต้” หรือ บีอาร์เอ็น หรือไม่ ก็เปล่าเลย เพราะ โจรแบ่งแยกดินแดน ไม่กลัว ไม่สนใจ กฎหมายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น กฎหมาย พิเศษ หรือ กฎหมายอะไร เพราะแม้แต่การ”กดไก” ก็ยังไม่สามารถสร้างความ หวาดกลัวให้กับ คนในขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้ เห็นด้วยกับการใช้ กฎหมายพิเศษ แต่นั้นหมายความว่า ใช้แล้วต้องได้ผล ในทางปฏิบัติ คือ เหตุร้ายลดลง กฎหมายพิเศษ มีผลกระทบกับ บีอาร์เอ็น แต่ถ้ามี กฎหมายพิเศษ แต่ใช้ไม่ได้ผลกับ”โจร” หรือ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ก็ต้องกลับไปดูใหม่ว่า กฎหมายพิเศษที่ใช้”เป็น”ยาหมดอายุ” หรือว่า “โจรใต้” ทั้งหมดเป็นโรค”ดื้อยา” หรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ควรดันทุรังที่จะใช้ เพราะ กฎหมายพิเศษที่ใช้ ไม่ได้ทำให้ สถานการณ์ดีขึ้น และที่ สำคัญ การที่ กอ.รมน.ภาค 4 ได้ ออกมา กล่าวถึง การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเป็นเรื่อง การจัดกำลังชุด “ชป.จรยุทธ” การให้ ทหาร นอนนอกฐาน ไปนอนใต้ถุนบ้าน หรือการ ลาดตระเวนในป่า การปิดล้อมแนวชายแดน เป็นเรื่องของ”ยุทธวิธี” ทั้งสิ้น แต่ไม่เห็นเรื่องของ”ยุทธศาสตร์” ของการ แก้ปัญหา”ไฟใต้” แต่อย่างใด ในการแก้ปัญหา”ไฟใต้”ที่สำคัญต้องมี”ยุทธศาสตร์” ที่ถูกต้อง ต้องเข้าใจ สถานการณ์ ต้องรับความจริงว่า ความรุนแรง ความเลวร้าย เกิดจาก บีอาร์เอ็น และ บีอาร์เอ็น มีฐานกำลังอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็น”หลักพิง” อันเข็มแข็ง หมู่บ้าน แนวชายแดน ด้าน จ.นราธิวาส เป็นหมู่บ้าน” จัดตั้ง”โดย บีอาร์เอ็น เป็นที่ผลิตระเบิดแสวงเครื่อง เป็นที่เก็บ อาวุธ ยุทโธปกรณ์ และเป็นที่”พักพิง” ของ ขบวนการ “ยุทธศาสตร์” ในการ ดับ”ไฟใต้” จึงต้องมี เป้าหมาย ที่ชัดเจน เพราะการดับไฟใต้อย่างถาวร มีเพียง 2 หนทางเท่านั้น 1. คุยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เพื่อให้หยุดการเป็น”หลักพิง” ของ บีอาร์เอ็น 2. คุยกับผู้นำ บีอาร์เอ็น อย่างเป็นทางการ เพื่อยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธ สำหรับ วิธีการอื่นๆ ที่ใช้อยู่ในขณะนี้ ล้วนแต่ เป็นการแก้ปัญหาที่”ปลายเหตุ” ทั้งสิ้น สุดท้าย ประเด็นสำคัญที่สุดคือ 2 เดือนสุดท้าย ก่อนจะเข้าสู้ปี 2563 ซึ่ง บีอาร์เอ็น ส่งสัญญาณ ว่า ยังจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นต่อเนื่อง วันนี้ กอ.รอม.ภาค 4 ส่วนหน้า จะมีแต่”ยุทธวิธี” ไม่ได้ จะต้องมี”ยุทธศาสตร์” เพื่อการ เอาชนะ ต่อศัตรู และ ที่สำคัญ แม่ทัพ นายกอง ทั้งหลาย อย่างมอง กลุ่มคนที่”เห็นต่าง” ไม่ว่าจะเป็น นักสิทธิมนุษยชน นักการเมืองในพื้นที่ เอ็นจีโอ นักวิชาการ และ แม้แต่ “นักหนังสือพิมพ์” ที่”เห็นต่าง” กับ วิธีการของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็น”ศัตรู” หรือเป็น”แนวร่วม” กับ บีอาร์เอ็น เพราะ วิธีคิดอย่างนี้ คือการนำไปสู่ความ”ล้มเหลว” ในการดับ”ไฟใต้” นั้นเอง เมือง ไม้ขม