บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในสัปดาห์นี้ (วันที่ 4-8 พ.ย. 2562) บรรยากาศตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาการซื้อขายอยู่ในแดนลบสลับกันแดนบวก ซึ่งยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้นักลงทุนยังลุ้นการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หากเจรจากันได้ก็จะเป็นบวก แต่ถ้าไม่ใช่ก็เชื่อว่าตลาดฯก็คงร่วง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นยุโรปที่ถูกกดดันจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐระบุว่า เขาไม่เห็นด้วยกับแผนการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจีน ซึ่งความเห็นดังกล่าวทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่า ทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ในเร็วๆ นี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.28% ปิดที่ 405.42 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,889.70 จุด ลดลง 1.28 จุด หรือ -0.02%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,228.56 จุด ลดลง 60.90 จุด หรือ -0.46% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,359.38 จุด ลดลง 47.03 จุด หรือ -0.63% หุ้นทุกกลุ่มปรับตัวลง ยกเว้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งเป็นกลุ่มปลอดภัย โดยบ่งชี้ว่า นักลงทุนไม่ต้องการเสี่ยงเข้าลงทุนในตลาดตอนนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐกลับปรับตัวขึ้น แม้นักลงทุนกังวลกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาบอกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับแผนการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับแถลงการณ์ของนายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาการค้าของทำเนียบขาว รวมทั้งแหล่งข่าวอื่นๆ ซึ่งระบุว่า แผนการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจีนได้ถูกคัดค้านจากภายในทำเนียบขาว ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,681.24 จุด เพิ่มขึ้น 6.44 จุด หรือ +0.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,093.08 จุด เพิ่มขึ้น 7.90 จุด หรือ +0.26% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,475.31 จุด เพิ่มขึ้น 40.80 จุด หรือ +0.48% ส่วนปัจจัยที่ติดตามสัปดาห์หน้าวันที่ (11 – 15 พ.ย.2562) นั้นนายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาก็ยังไม่ได้ดีเท่าใดนัก แต่ตลาดฯยังมีปัจจัยจาก MSCI เพิ่มหุ้นไทยเข้าไปในการคำนวนดัชนี แต่ก็น่าจะมีผลในปลายเดือน ดังนั้นตลาดฯจึงเป็นลักษณะของการปรับฐานชั่วคราว อย่างไรก็ดียังจะต้องติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเรื่องความชัดเจนการลงนามข้อตกลงการค้า และการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อไป รวมถึงงาน SET in the city 2019 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14-17 พ.ย.นี้ คาดหวังว่าจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดฯ ส่วนต่างประเทศก็ให้ติดตามตัวเลข GDP งวดไตรมาส 3/62 ของยุโรป ทั้งนี้แนวโน้มการลงทุนตลาดฯคงจะยังอยู่ในลักษณะแกว่งตัว โดยให้กรอบไว้ที่ 1,620-1,660 จุด โดยนักลงทุนคงจะเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัวไป