“พีทีทีโกลบอล”วางกลยุทธ์ 3 Steps เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและนวัตกรรม เผยเตรียมเงิน 1.5-2 แสนล้านบาท พร้อมลงทุนใหม่หรือซื้อกิจการใหม่ใน 5 ปีข้างหน้า นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบมจ.พีทีทีโกลบอลเคมิคอล (จีซี) เปิดเผยว่า ราคาปิโตรเคมีขณะนี้ คาดว่าจะเป็นช่วงราคาที่ต่ำที่สุดแล้ว และประเมินว่าปี 63 มาร์จินต่างๆจะขยับดีขึ้น เนื่องจากทิศทางการเจราจาสงครามการสหรัฐฯ-จีนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ประกอบกับข้อบังคับข้อตกลงการใช้น้ำมันกำมะถันต่ำขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ(ไอเอ็มโอ)มีผลบังคับใช้ปี 2563 จะทำให้ค่าการกลั่นขยับดีขึ้น จึงมองว่าในส่วนของราคาและมาร์จิ้นจะเป็นส่วนหนึ่งหรือโตขึ้นร้อยละ 4 ทำให้ปี 2563 จะมีรายได้ดีขึ้นประมาณร้อยละ 15 โดยอีกร้อยละ 11 จะมาจากกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น จากการที่ไม่มีการปิดซ่อมโรงกลั่นเหมือนปี 2562 และโครงการใหม่ทั้งโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (ORP),โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (PO) และโครงการโพลีออลส์ (Polyols) ก็จะเสร็จปลายปี 2563 ทั้งนี้ประเมินว่าปี 2563 เปรียบเทียบกับปี 2562 ค่าการกลั่นเฉลี่ยจะขยับขึ้นจาก 4 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลเป็น 7 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล มาร์จิ้นอะโรเมติกส์จะขยับขึ้นจาก 140 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันเป็น 180 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน และกลุ่มโพลีเมอร์ก็จะขยับดีขึ้น โดยราคาโพลีเอทลีน น่าจะขยับขึ้นจาก 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันเป็น 1,030 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ทั้งนี้ในฐานะผู้บริหารงานคนใหม่ของจีซี ตั้งนโยบายเน้นความยั่งยืนคือ สานต่อ ต่อยอด โดยจีซีจะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ 3 Steps คือ 1. Step Change สานต่อสร้างบ้านปัจจุบันทั้งในมาบตาพุดและอาเซียนให้แข็งแรง โดยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่ม Plant Reliability ให้อยู่ในระดับ 1st Quartile และต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจด้วยการขยายเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำและ High Value Business โดยขณะนี้ลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซีไปแล้ว 100,000 ล้านบาท และอีก 3 ปีข้างหน้าจะลงทุนในอีอีซีอีกไม่ต่ำกว่า 40,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้บริหาร 2.Step Out การหาฐานธุรกิจแห่งที่ 2 (Second Home Base) ซึ่งมีศักยภาพในการแข่งขันด้านวัตถุดิบหรือการเติบโตของตลาด อาทิ โครงการศึกษาการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯ 1.5 ล้านตันต่อปีที่มีศักยภาพความเป็นต่อด้านวัตถุดิบต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆด้วย Mergers and Acquisitions (M&A) สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยโครงการลงทุนในสหรัฐฯจะประกาศตัดสินใจขั้นสุดท้ายกลางปี 2563 และจะสร้างเสร็จใน 5 ปีถัดไป 3.Step Up สานต่อแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งจีซีปฏิบัติอย่างโดดเด่น ด้วยความคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อความยั่งยืนสูงสุด และต่อยอดบูรณาการให้เกิดความยั่งยืนทุกธุรกิจและกระบวนการของบริษัท "นโยบายดังกล่าวตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2573 จะมีอีบิทด้า (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีนิติบุคคล ค่าเสื่อม และค่าจัดจำหน่าย)จากต่างประเทศมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 จากปีนี้ร้อยละ 7 รายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 60 และในส่วนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษและผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จะมีสัดส่วนร้อยละ 30 ทำให้บริษัทมีความหลากหลายและลดความเสี่ยงในด้านต่างๆ" โดยบริษัทจะมีกระแสเงินสดเข้ามาแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ประกอบกับหนี้สินต่อทุนต่ำมากอยู่ที่ประมาณ 0.3 ดังนั้นภายใน 5 ปี บริษัทจึงประเมินว่าจะมีวงเงินรวม 150,000-200,000 ล้านบาทในการลงทุนใหม่หรือทำการควบรวมกิจการ โดยจากภาวะตลาดโลกเช่นนี้เป็นโอกาสในการซื้อกิจการโดยดูหลายโครงการ ขณะเดียวกันโครงการไบโอพลาสติก PLA ที่บริษัทร่วมทุนในสหรัฐฯคือ บริษัทเนเจอร์เวิร์กกำลังผลิต 150,000 ตันต่อปี ขณะนี้ยอดขายล้น ดังนั้นจึงพยายามดึงเข้ามาลงทุนในไทย หากได้รับการตอบรับก็คาดว่าจะมีการลงทุนในกำลังผลิต 75,000 ตันต่อปี