วันที่ 4 พ.ย. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว"มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์" ระบุ #ฝ่ายค้านอิสระ​#เคยมีในการเมืองประเทศอังกฤษ​ แนวทาง “ฝ่ายค้านอิสระ” อย่างนี้เคยมีในการเมืองอังกฤษ ซึ่งเรียกว่า Confidence and Supply นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ความหมายของแนวทางนี้คือข้อตกลงระหว่างพรรคการเมืองที่มีความผูกพันน้อยกว่าการร่วมรัฐบาลผสม เป็นข้อตกลงระหว่างพรรคการเมืองหนึ่งกับพรรคที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย พรรคที่เดินนโยบาย C&S นี้ไม่ส่งคนเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี แต่พร้อมจะให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยบริหารประเทศด้วยการพร้อมจะยกมือสนับสนุนญัตติสำคัญๆ โดยเฉพาะร่างกฎหมายงบประมาณและญัตติไม่ไว้วางใจ แต่ขณะเดียวกันพรรคฝ่ายค้านอิสระที่ว่านี้ก็พร้อมจะค้านรัฐบาลในเรื่องที่ตนเองไม่เห็นด้วย "เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมแปลว่า ความอยู่รอดทางการเมืองของรัฐบาลเสียงข้างน้อยย่อมอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยง จำเป็นต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากพรรคนอกรัฐบาลนี้ ข้อตกลงเช่นนี้ย่อมเกิดในกรณีพิเศษเท่านั้น และก็คงเป็นพันธกรณีเฉพาะกิจระยะสั้น เพื่อประคองให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยทำงานไประยะหนึ่งก่อน เพื่อรอให้มีการเจรจาให้พรรคอื่นๆ มาร่วมรัฐบาลอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ให้มีเสียงรวมกันแล้วมากพอที่จะมีเสถียรภาพพอสมควร หรือไม่ก็รอให้มีการยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่ ให้ประชาชนตัดสินอีกครั้งหนึ่ง เผื่อว่าพรรคใดพรรคหนึ่งจะได้รับความไว้วางใจเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ จะได้บริหารประเทศด้วยความมั่นคงกว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อย กรณีการเมืองไทยวันนี้ เราก็กำลังเห็นอาการของการตั้งรัฐบาลที่อาจจะเข้าข่ายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะไม่มีแกนนำไหนมีเสียงเกินครึ่งในสภาล่าง คือเกิน 250 เสียง เพื่อป้องกันความพยายามของฝ่ายค้านในอันที่จะคว่ำรัฐบาลได้" นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า แม้จะเชื่อกันว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้รับการสนับสนุนของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาและแต่งตั้ง 250 คน แต่หากตั้งรัฐบาลได้ก็จะเป็นเพียงรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร โอกาสที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือแพ้โหวตเรื่องกฎหมายงบประมาณ (ซึ่งใช้เสียงเฉพาะในสภาล่าง) ก็มีสูง จึงตกอยู่ในสภาพที่เสี่ยงต่อการถูกคว่ำได้ตลอดเวลา "นี่คือภาวะ deadlock ที่การเมืองไทยหลังเลือกตั้งกำลังเผชิญอยู่ และเมื่อนักการเมืองรุ่นใหม่ของ ปชป.เสนอให้พรรคตนเองเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” มีบทบาทคล้ายกับ C&S ของอังกฤษในบางจังหวะที่ผ่านมา จึงกลายเป็นประเด็นถกแถลงกันในพรรคและสังคมไทยทั่วไปอย่างคึกคัก เพราะนี่คือ “นวัตกรรมทางการเมือง” อันเกิดจาก “สถาปัตยกรรมการเมือง” ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญและเขียนกติกาการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้"