หลังจากที่ปล่อยและเปิดทางให้ “พรรคอนาคตใหม่” เล่นบท “โชว์เดี่ยว”กันมาพักใหญ่ จนแทบทำให้คอการเมืองแทบหลงลืมกันไปแล้วว่า “พรรคเพื่อไทย” คือ พรรคแกนนำฝ่ายค้าน และเป็นพรรคการเมืองที่มีส.ส.มากเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่จะเป็นเพราะด้วย ความวุ่นวาย ช่วงชิงการนำกันเองระหว่างกลุ่มก๊วน และก๊กที่มีหลายกลุ่ม จนทำให้พรรคเพื่อไทย ถูกลดทอนความแข็งแกร่งลงไปมากโข และที่สำคัญไปกว่านั้น ยังเป็นเพราะ อิทธิฤทธิ์ ของ “รัฐธรรมนูญ 2560” ที่ทำให้แกนนำของพรรคระดับ “บิ๊กเนม” มีอันต้องตกหล่น อยู่นอกสภาผู้แทนราษฎร จะเหลือก็แต่ ส.ส.ระดับ “แถวสอง-แถวสาม” ที่เข้ามาทำหน้าที่ ยกระดับขึ้นมาสู่ “ดาวสภาฯ” จังหวะการก้าวเดินของพรรคเพื่อไทย นับตั้งแต่ ยุค “คสช.ภาค 1” จนมาสู่ “คสช.ภาค2” ในปัจจุบันนั้นดูเหมือนว่า จะดำเนินไปอย่างเนิบช้า เจอทั้งปัญหาภายในพรรคและปัญหาภายนอก ที่ล้วนแล้วแต่ลิดรอนพรรคเพื่อไทย ให้อ่อนแรงลงทุกที สายตรงจาก “คนที่ต่างประเทศ” เองก็ทำท่าว่าจะถอดใจอยู่ร่ำๆ เพราะยิ่งสู้ ก็ยิ่งเหนื่อย แต่ครั้นหากจะไม่สู้เลย “ที่ยืน”ในทางการเมือง ก็อาจจะไม่เหลือ อย่างไรก็ดี เมื่อการต่อสู้ทางการเมือง ระหว่าง ฝ่ายรัฐบาลที่มี พรรคพลังประชารัฐ ถือธงนำ กับ “7 พรรคฝ่ายค้าน” กลายเป็นซีรี่ย์เรื่องยาว อีกทั้ง “แกนนำ” ของพรรคอนาคตใหม่ เองก็ทำผิดพลาด เดินตกหลุมด้วยตัวเองจนนับครั้งไม่ถ้วน และที่สำคัญ ยังจะกลายเป็นว่า จากความผิดพลาดของตัว “หัวขบวน” พรรคอนาคตใหม่เอง ได้กลายเป็น “เงื่อนไข” ที่จะมาซึ่งการถูกยุบพรรค ไปพร้อมๆกับปัญหาภายในพรรคเองที่เกิดความขัดแย้ง เป็นรอยร้าวที่ปะทุไปแทบทุกจุด และนี่น่าจะถือเป็น “โอกาสทอง” ที่พรรคเพื่อไทยจะได้ทำแต้มจากการเลือกตั้งซ่อม ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีก 3เขตเลือกตั้ง ทั้งที่กำแพงเพชร , ขอนแก่นและสมุทรปราการ ซึ่งพรรคเพื่อไทย มีตัวผู้สมัคร เตรียมลงพื้นที่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว จะติดปัญหาก็ตรงที่ พรรคอนาคตใหม่ เองก็ต้องการ “สู้” เพื่อรักษา “คะแนนนิยม” ทั้งของ พรรคและตัวแกนนำพรรค ในห้วงที่พรรคกำลังซวนเซ ดังนั้นยังพบว่า “การเจรจา” ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับอนาคตใหม่ เพื่อหาความชัดเจนว่าใครจะลงเลือกตั้ง เขตไหน จังหวัดไหน เพื่อที่จะหาจุดลงร่วมกันว่า จะเป็นการต่อสู้เพื่อ “สกัด” ผู้สมัครจากพรรคฝ่ายรัฐบาล โดยไม่จะยอมพลาดเป็นที่สอง เหมือนเช่นสนามเลือกตั้งที่นครปฐม เขต5 ทั้งนี้ สถานการณ์ของพรรคฝ่ายค้าน อาจจะต้องอยู่ในภาวะ ถูกลดทอน ทำให้ “อ่อนแรง” ลงมากขึ้น เมื่อพรรคอนาคตใหม่ มีอันต้อง “ถูกยุบพรรค” กันขึ้นมาจริง เพราะส.ส.เขตของพรรคอนาคตใหม่ 30 คนที่มีอยู่ จะต้องเร่งหา “พรรคใหม่”เพื่อสังกัดให้กันตามกรอบเวลาของรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า จำนวนส.ส.ทั้ง 30 คนของอนาคตใหม่ จะเทที่มา พรรคเพื่อไทยทั้งหมด เพราะเวลานี้ ว่ากันว่า มีการเสนอทางเลือกให้กับส.ส.เขต ของอนาคตใหม่กันแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า พรรคการเมืองที่ถูกหมายตาและเป็น “ทางเลือก” ที่น่าสนใจ มากที่สุด ย่อมต้องเป็น “พรรครัฐบาล” อย่างพรรคภูมิใจไทยที่จะรอรับ “ส้มหล่น” แต่เมื่อเวลานี้ วันนี้ไม่มีทางเลือกอื่น พรรคเพื่อไทย จึงต้อง ดิ้นสู้เพื่อรักษาที่อยู่และที่ยืนให้ยาวนานมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ !