เรียกว่า “พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก” !! ด้วยวิบากกรรมของพรรคอนาคตใหม่ที่ต้องเผชิญมรสุมลูกแล้วลูกเล่าไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งสถานการณ์ของพรรค สถานการณ์ของบรรดาแกนนำ ทั้งในเชิงการเมือง และในทางคดีความต่างๆ เปรียบเป็นมวยก็อยู่ในอาการร่อแร่ เจียนอยู่เจียนไปจะยืนไม่ครบยก และอาจถูกน็อกในเวลาไม่ช้า ล่าสุด งานเข้าแกนนำคนสำคัญอย่าง พรรณิการ์ วานิช หรือ “ช่อ” ที่ถูกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต. ตรวจสอบความผิดปกติในการบริจาคเงินให้กับพรรคอนาคตใหม่จำนวน 1 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 พฤศจิกายน 2561 สวนทางกับรายได้ของเจ้าตัว ตามที่ได้แจ้งบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินไว้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ไว้ “น.ส.พรรณิการ์ มีทรัพย์สินไม่มาก มีเงินฝากเพียงหลักหมื่น ดังนั้น การที่ผู้มีทรัพย์สินหนี้สินเล็กน้อยแค่นี้ กลับมีเงินไปบริจาคให้พรรคถึง 1 ล้านบาท มีข้อน่าสังเกตว่า เงินบริจาคดังกล่าว อาจไม่ใช่เงินส่วนตัว แต่เป็นเงินที่ได้มาจากผู้อื่น หรือได้มาโดยวิธีการอื่น” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุ ขณะที่ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตามไปแกะรอย “ช่อ” จากการแจ้งแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.91) เมื่อปี 2561 ปรากฎว่า มีรายได้รวม 843,008 บาท เป็นเงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญฯ ทั้งหมด หักค่าใช้จ่าย 100,000 บาท หักรายการค่าลดหย่อน 225,458 บาท คงเหลือรายได้ 517,550 บาท คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิจำนวน 30,132 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย 36,884 บาท จึงหักภาษีไว้เกิน 6,752 บาท ได้ขอคืนเงินภาษีที่ชำระไว้เกิน 6,752 บาท และได้ทำเครื่องหมายในช่องอุดหนุนหักเงินภาษีให้แก่พรรคอนาคตใหม่ เป็นเงิน 500 บาทเท่านั้น พิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ ประเด็นของ “ช่อ” ในมุมมองของอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ชูชาติ ศรีแสง ได้แสดงความเห็นเอาไว้ในเฟจเฟซบุ๊กไว้อย่างน่าสนใจ โดยอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ระบุว่า จำนวนรายได้ตาม ภงด.91ในปี 2561 ของน.ส.พรรณิการ์มีเพียง 8 แสนบาท จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบริจาคเงินให้กับพรรคจำนวน 1 ล้านบาท ดังนั้นถ้าการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.ของน.ส.พรรณิการ์เป็นความจริง การแจ้งรายชื่อผู้บริจาคให้แก่พรรคอนาคตใหม่ ต่อกกต.ก็ต้องเป็นความเท็จ ขณะเดียวกันหากการแจ้งรายชื่อบริจาคให้กับกกต.เป็นความจริง บัญชีทรัพย์สินและภงด. ก็เป็นความเท็จ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่และน.ส.พรรณิการ์ต้องเลือกว่าจะให้พรรคหรือน.ส.พรรณิการ์ถูกดำเนินคดี “สรุปเรื่องนี้ต้องเป็นความเท็จอยู่ประการหนึ่งแน่นอน พรรคอนาคตใหม่และนางสาวพรรณิการ์คงต้องเลือกเอาว่าจะให้พรรคอนาคตใหม่หรือนางสาวพรรณิการ์ถูกดำเนินคดี” “ชูชาติ”ระบุ มาถึงตรงนี้ เท่ากับว่า อนาคตของพรรคอนาคตใหม่ และอนาคตของ “ช่อ” กำลังมาถึงจุดหักเหทางการเมืองอีกครั้ง!! การจะงัดกระบวนท่าออกมาต่อสู้ว่า ถูก “กลั่นแกล้งทางการเมือง” คงไม่ได้ เมื่อเอกสารหลักฐานต่างๆนั้น พรรคอนาคตใหม่และ “ช่อ” ชี้แจงแสดงเอง ไม่เพียงเท่านั้น พิษของเงินบริจาคพรรคการเมือง ยังลากเอาพรรคอนาคตใหม่เข้าไปติดบ่วงด้วย จากข้อสังเกตของ เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ที่ยื่นให้กกต.สอบเงินบริจาคของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และ รวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยา โดย“ธนาธร” บริจาคช่วงเดือนตุลาคม 2561-มกราคม 2562 จำนวน 10 ล้านบาท และ “รวิพรรณ” บริจาครวม 7.2 ล้านบาท เนื่องจากบุคคลทั้ง 2 เป็นที่รับรู้กันในทางกฎหมายว่าเป็นสามีภรรยากัน เปรียบเสมือนเป็นบุคคลคนเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การทำนิติกรรมสัญญาที่ผูกพันตามสัญญาจะต้องได้รับการยินยอมจากสามีหรือภรรยาก่อน “หากถือเป็นบุคคลเดียวกัน การกระทำดังกล่าวถือว่าขัดต่อพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 66 ที่กำหนดให้บุคคลสามารถบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองได้ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี และห้างหุ้นส่วนบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองได้ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อปี อาจเป็นเหตุให้นำไปสู่การยุบพรรคการเมืองที่รับบริจาคนั้นได้” ขณะที่ภายในพรรคอนาคตใหม่เอง ก็อยู่ในภาวะ “เลือดไหลออก” อดีตผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค30 คนและสมาชิกพรรคกว่า 90 คน ตบเท้ายื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับพรรคเป็นอย่างมาก เงื่อนปมที่ทำให้เกิดปัญหาย้ายรังในวันนี้ มาจากการบริหารจัดการภายในของแกนนำพรรคเรื่องการจัดสรรตำแหน่งผู้ช่วยส.ส.ในสภาฯ โดยกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับแกนนำพรรค จะได้รับการจัดสรรตำแหน่ง โดยอดีตผู้สมัครส.ส.เขต 1 ชุมพร ชาญวิทย์ ใจสว่าง ถึงกับโพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กตัดพ้อว่า ผู้แพ้การเลือกตั้งเป็นแค่ขยะของพรรค พร้อมกับสะท้อนปัญหาการแบ่งชนชั้นภายในพรรค ขณะที่การชี้แจงแสดงเหตุผลของ นิพนธ์ แจ่มจำรัส อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี เขต 2 พรรคอนาคตใหม่ ถึงการที่เขายกพวกลาออกนั้น ไม่ต่างอะไรกับทิ้งระเบิดลูกใหญ่ โดยบอกว่าต้องการให้เห็นสัญญาและสัจจะของผู้นำเป็นเรื่องสำคัญ หากผู้นำไร้สัจจะ ไม่รักษาคำพูด ย่อมไม่สามารถนำประชาชนทั้งประเทศไปสู่จุดมุ่งหมายตามนโยบายพรรคที่วางไว้ได้ “รู้สึกว่าผู้นำของเรา ไม่รักษาคำพูด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังรักษาคำพูดไม่ได้แล้วจะไปทำนโยบายที่ลงไปสู่ประชาชนอีก 60 ล้านคนได้อย่างไร” อีกทั้งหากย้อนไปในห้วงของศึกพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 พรรคอนาคตใหม่ก็ต้องเผชิญกับ “งูเห่าสีส้ม” สวนมติพรรคไปยกมือให้กับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งกลายเป็นหอกข้างแคร่ “เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ คนที่ยังเดินไปต่อกับพรรค ก็คือเป็นเหล็กเนื้อดี ที่ไม่มีสนิม ต่อให้พวกเราจะถูกซื้อทั้งหมด ผมก็เชื่อว่า เขาซื้อปิยบุตร เขาซื้อธนาธร ไม่ได้ ถ้าถูกซื้อไปจนเหลือ 2 คน เราก็ยังจะลุกขึ้นมาแล้วเดินหน้าต่อ เราก็ยังจะลุกขึ้นมาแล้วทำงานการเมืองต่อไป เพื่อให้ได้สังคมอย่างที่เราใฝ่ฝัน” “ธนาธร” ระบุ กระนั้น เหล็กเนิ้อดี ที่ “ธนาธร” เอ่ยถึง ซึ่งยังอยู่กับพรรคอนาคตใหม่ อย่าง ไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร หรือ “เฮียป๋วย” สามี จุมพิตา จันทรขจร หรือ “เจ๊อุ๊” แชมป์เก่าอดีตส.ส.เขต 5 นครปฐม ที่ลาออกไปเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ก็เพิ่งพบกับความปราชัย พ่ายแพ้ให้กับ เผดิมชัย สะสมทรัพย์ หรือ “เสียเตี้ย” ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนาไปอย่างย่อยยับ นอกจากจะถูกศัตรูทางการเมืองตามถล่มว่าอยู่ในช่วง “ขาลง”แล้ว หากย้อนไปดูผลการเลือกตั้งใหญ่ พบว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่เข้าวิน ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่พรรคเพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัครลงชิงเก้าอี้ และการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ส่งผลให้คะแนนสวิงมาอยู่ที่พรรคอนาคตใหม่ ในทางกลับกันการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 5 จ.นครปฐมครั้งล่าสุด เกิดขึ้นหลังวาทะกรรม ที่ “ธนาธร” พูดพาดพิงถึงอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ในระหว่างการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ นั่นทำให้มีการกดรีโมตมาจากดูไบ สางแค้นเอาคืน “ธนาธร” ผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น ทำให้พรรคอนาคตใหม่ต้องหันกลับมาทบทวนว่า 80 ที่นั่งได้มาจากการเลือกตั้งใหญ่นั้น เป็นคะแนนนิยมในส่วนของพรรคอนาคตใหม่ ที่มีต่ออุดมการณ์ของพรรค และแม้แต่ต่อความนิยมในตัวของ “ธนาธร” ที่แท้จริงนั้นมีอยู่เท่าไหร่กันแน่ จะได้ตื่นจากความฝันบางเรื่อง บางประการ น่าจับตาว่า อนาคตของพรรคอนาคตใหม่ในทางการเมือง จะลงสนามเพื่อพิสูจน์ “เหล็กเนื้อดี” ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ใน 3 จังหวัดทั้ง ขอนแก่น สมุทรปราการและกำแพงเพชรหรือไม่!? ในขณะที่อนาคตของ “ธนาธร” เองก็ยังแขวนอยู่บนเส้นด้าย รอศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตาในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ สถานการณ์เช่นนี้ จึงเหมือนอยู่หว่างเขาควาย ขยับทางไหนก็ถูกแทง!