เมื่อวันที่31 ต.ค.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ระบุข้อว่า...รำลึก 13 ปีการจากไปของ ‘นวมทอง ไพรวัลย์’ สามัญชนพุ่งชนเผด็จการ - ‘ณัฐวุฒิ’ เทียบ 2 ลุงบนถนนเดียวกัน คารวะสดุดี ‘ลุงขับแท็กซี่’ ชี้จุดจบ ‘ลุงขับรถถัง’ รอวันกลับเข้ากรมกอง- ยอมรับนปช.เลือดท่วม แต่ไม่หยุดต่อสู้ ยืนยันไม่ย้ายข้างไปสมคบเผด็จการ - เป็นกำลังใจให้เลือดใหม่ คนรักประชาธิปไตยไม่ขาดหาย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังวางดอกไม้รำลึก 13 ปีการจากไปของนายนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่พุ่งชนรถถังประท้วงการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 และผูกคอพลีชีพที่สะพานลอยหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2549 เพื่อลบคำสบประมาทว่า ‘ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้’ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ‘วันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งนะครับ ที่พวกเราในฐานะผู้ร่วมอุดมการณ์ประชาธิปไตยกับคุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ รวมทั้งครอบครัวของคุณลุงนวมทอง มารวมตัวกันที่นี่ เพื่อแสดงความคารวะ อาลัย และสดุดีต่อความองอาจกล้าหาญของลุงนวมทอง ไพรวัลย์ สามัญชนคนขับแท็กซี่ที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการอย่างถึงที่สุด สละชีวิตของตัวเองเพื่อรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีของประชาชน ปีนี้เป็นปีที่ 13 ซึ่งก็คงเป็นความเจ็บปวดอีกคำรบหนึ่ง ที่เราต้องมารำลึกวีรชนผู้ต้านเผด็จการ ในยุคที่บ้านเมืองยังปกครองด้วยรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการ ประวัติศาสตร์ของคุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ อธิบายกับเราว่า ประชาชนคนธรรมดา คนหาเช้ากินค่ำ แต่ถ้ายึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย หยิ่งทนงในเกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งความเป็นประชาชน เขาก็ไม่พร้อมที่จะค้อมหัวยอมรับการกดขี่หรืออำนาจอันไม่ชอบธรรมใดๆ การต่อสู้ของคุณลุงนวมทอง จะไม่สูญเปล่า แม้ว่าวันเวลานี้ระบอบประชาธิปไตยจะประสบภาวะบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นใกล้ตายก็ตาม แต่เราเชื่อมั่นว่า วันหนึ่งวิถีแห่งประชาธิปไตยก็จะกลับคืนมาสู่สังคมไทยในที่สุด บ้านเมืองเวลานี้ ผมนึกถึงลุง 2 คนครับ ลุงคนหนึ่งชื่อนวมทอง ขับแท็กซี่เพียงคันเดียวพุ่งเข้าชนรถถังเพื่อต่อต้านคณะรัฐประหาร เพื่อปฏิเสธอำนาจเผด็จการ ในขณะที่มีลุงอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใคร สั่งการรถถังขับมาบนท้องถนน วิ่งชนอำนาจอธิปไตยของประชาชนแล้วยึดเอาเป็นของตัวเองมาตลอดเวลากว่า 5 ปีแล้วใช้อำนาจ ใช่เล่ห์กลทุกอย่างสืบทอดอำนาจของตนและพวกจนปัจจุบันนี้ ส่วนตัวผม ผมเคารพศรัทธาและชื่นชมลุงนวมทอง และอยากจะบอกลุงอีกคนว่าคนอย่างลุงนวมทอง ไม่ได้มีเพียงคนเดียว ผมแน่ใจว่าคนที่คิดแบบนี้ รู้สึกแบบนี้ เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ อยากให้ลุงคนนั้นรับฟังความรู้สึกของประชาชนบ้างประชาชนไม่ได้มองตัวท่านเป็นศัตรู แต่มองว่าอำนาจเผด็จการเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต่อต้าน ดังนั้น ขอท่านอย่าได้มองประชาชนเป็นศัตรู ขอได้เพียงรับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันขาดความชอบธรรม มันไม่ถูกต้องตามหลักการ แล้วเราก็จะยืนยันปฏิเสธอำนาจและวิถีทางของเผด็จการต่อไป วันนี้พวกผมไม่ได้มาปลุกระดมสร้างเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นการมาทำหน้าที่ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย เรามีหน้าที่ของเราที่จะต้องยกย่องเชิดชูและปกป้องการเสียสละของประชาชนคนธรรมดา เฉกเช่นคุณลุงนวมทอง แล้วเรายังมีหน้าที่ของเราที่จะต้องชี้ให้พี่น้องประชาชนคนร่วมประเทศ ได้ประจักษ์และเข้าใจว่าอำนาจเผด็จการไม่เคยนำพาความเจริญไปสู่ชาติบ้านเมืองได้ อำนาจเผด็จการไม่เคยนำพาสู่การปฏิรูปประเทศให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยได้ ถ้ารถแท็กซี่ของคุณลุงนวมทอง ที่พุ่งชนรถถังของคณะเผด็จการในเวลานั้นมันเป็นภาพสัญลักษณ์ซึ่งสะท้อนความจริงในสังคมไทยว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการใช้กำลังเผด็จการเข้ายึดอำนาจ ก็จะมีประชาชนคนเล็กๆ เปรียบเช่นแท็กซี่คันหนึ่งที่กล้าหาญออกมาต่อต้านกระทั่งพุ่งเข้าชนอำนาจเผด็จการนั้นแล้วก็เป็นเรื่องน่าเศร้า ทุกครั้งที่ประชาชนต่อต้านและพุ่งเข้าชนอำนาจเผด็จการ ผู้ที่บาดเจ็บ ผู้ที่สูญเสียก็คือประชาชน เหมือนแท็กซี่ของคุณลุงนวมทองที่พุ่งชนรถถังแล้วรถถังแทบจะไม่บุบสลายแต่ความเสียหายกลับเกิดขึ้นกับรถแท็กซี่คันดังกล่าว แต่ผมเชื่อนะครับว่าถ้าหากรถถังยังไม่หยุดวิ่งออกมาบนท้องถนน ก็จะมีแท็กซี่ซึ่งเปรียบเป็นประชาชนจะไม่หยุดลุกขึ้นยืนออกมาต่อต้านเช่นเดียวกัน แล้วถึงที่สุด ผมเชื่อว่ารถถังต้องมีวันกลับเข้ากรมกอง แท็กซี่เท่านั้นนะครับที่จะวิ่งอยู่บนท้องถนนไปตลอดกาล อำนาจเผด็จการวันหนึ่งก็ต้องล้มพังลงไป ประชาชนเท่านั้นนะครับที่จะเดินและยืนหยัดอย่างสง่างามในสังคมที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในสังคมไทย ขอคารวะสดุดีลุงนวมทอง ไพรวัลย์อีกครั้ง ขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของลุง ซึ่งสำหรับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเราผูกพันกันเสมือนญาติ แม้ไม่ได้พบหน้าเจอตากันบ่อยครั้งนักในช่วงหลัง แต่ทุกครั้งที่พบกันก็ยังรู้สึกห่วงใยใกล้ชิดกันอยู่เช่นเดิมครับ’นายณัฐวุฒิกล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์ของการเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยเป็นอย่างไรและนปช.จะเป็นอย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ‘ต้องยอมรับว่า ขบวนการต่อสู้ของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยอยู่ในภาวะตั้งรับต่อเนื่องกันมาหลายปี นับจากเหตุการณ์รัฐประหารโดยคสช. ประกอบกับบาดแผลจากการต่อสู้ที่ผ่านมาเป็นข้อจำกัด เป็นอุปสรรคสำหรับการที่จะขับเคลื่อนต่อไป แกนนำนปช.เวลานี้ ถ้ามองกันโดยสภาพก็พูดได้ว่าเลือดท่วมตัวทั้งคดีอาญาทั้งคดีแพ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้มากมาย พวกผมไม่ได้พูดเพื่อวิงวอนขอความเห็นอกเห็นใจอะไรล่ะครับ เพราะนี่เป็นสิ่งที่พวกผมตัดสินใจและเลือกที่จะเดินออกมาต่อสู้ อะไรเกิดขึ้นพวกผมก็ต้องรับและเผชิญหน้าผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่หวังใจว่าในห้วงเวลาที่ขบวนการประชาธิปไตยซึ่งได้ยืนหยัดต่อสู้มาเป็นเวลานาน แล้วอยู่ในสภาพการณ์ที่เลือดท่วมตัวเช่นนี้ เราจะมีเลือดใหม่ของคนรักประชาธิปไตยปรากฏตัวขึ้น ซึ่งเท่าที่เห็นก็ไม่เคยขาดหายนะครับ มีคนหนุ่มคนสาว คนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมากมาย แล้วที่น่าชื่นใจก็คือ มีพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ของพวกผม ซึ่งหลายปีก่อนเคยสู้ร่วมกันในฐานะที่พวกผมยืนอยู่บนเวที พี่น้องหลายคนยืนอยู่ข้างล่าง วันนี้เราดูข่าวคราว ดูกิจกรรม ดูความเคลื่อนไหว หลายคนที่อยู่ข้างล่าง เขาผันตัวเองออกมายืนข้างหน้า เป็นกลุ่มแกนนำ เป็นกลุ่มพลังที่ขับเคลื่อนกิจกรรมแสดงออกสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนตัวผมชื่นชมแล้วก็เป็นกำลังใจ ไม่ว่าชะตากรรมของนปช. หรือแกนนำทั้งหลายจะเป็นอย่างไร ในอนาคตของประชาธิปไตยฝากไว้กับประชาชนคนไทยทุกคนครับ อนาคตของพวกผมเป็นเรื่องที่พวกผมต้องแบกรับ ส่วนอนาคตของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ทุกคนร่วมกันแบกรับ และผมมั่นใจว่าประชาชนจะนำพากระบวนการประชาธิปไตยเดินต่อไปข้างหน้าได้’ ผู้สื่อข่าวถามถึงคดีแพ่งที่มีการเรียกร้องค่าเสียหาย เตรียมแก้ปัญหานี้อย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ‘เราไม่มีกำลังที่จะชดใช้ค่าเสียหายตามที่ศาลท่านได้พิพากษามาและเมื่อเข้าไปอ่านในรายละเอียดคำพิพากษา ก็พบว่าตัวผู้เสียหาย เจ้าของตึก เจ้าของร้านรวงที่เกิดเพลิงไหม้ ทั้งในคำฟ้องและคำเบิกความก็พูดชัดว่าสถานการณ์ในวันนั้นตั้งแต่ช่วงบ่าย เจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบพร้อมอาวุธครบมือควบคุมพื้นที่ไว้หมดแล้วก่อนที่เพลิงจะไหม้ในช่วงค่ำ ช่วงระยะเวลาประมาณ 5 ชั่วโมงนับจากเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมพื้นที่ เราไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เห็นจากคำเบิกความก็คือว่า แม้แต่เจ้าของตึกหรือผู้เช่าซึ่งประกอบการร้านค้าถูกเจ้าหน้าที่ทหารต้อนออกมาแล้ว ลืมยารักษาโรคประจำตัว จะกลับเข้าไป เจ้าหน้าที่ทหารก็ปฏิเสธไม่ให้เข้า สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของตัวผู้เสียหาย แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษา พวกผมก็เคารพ แล้วก็กำลังพยายามหาทางแก้ปัญหากันอยู่ แน่นอนว่าคงจะต้องมีการปรึกษาหารือกับผู้เสียหายทุกคนทุกรายเพื่อที่จะให้เข้าใจสภาพการณ์ที่เป็นจริงของกันและกัน และหาทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ไปด้วยกัน แม้ว่าพวกผมจะไม่มีกำลังหาเงินไปชดใช้ตามคำพิพากษาดังกล่าว แต่ถ้าหากมีกระบวนการหนึ่งกระบวนการใด ที่จะทำให้สถานการณ์นี้ผ่านไป โดยที่เจ้าทรัพย์เองก็รับได้และพวกผมก็พอทำได้ นี่เป็นเรื่องที่จะต้องหาทางออกร่วมกันต่อไปครับ’ สำหรับคำถามว่าอนาคตนปช.จะเป็นอย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ‘นปช. มีอดีตที่ยาวนาน ส่วนอนาคตของนปช. เกิดจากอดีตที่เราสู้ด้วยกันมา นั่นหมายความว่า ถ้าสังคมไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตย นปช.ก็มีอนาคตต่อไป ถ้าสังคมไทยยังไม่กลับคืนสู่ประชาธิปไตย ต่อให้แกนนำนปช. ไม่ต้องคดีความอะไรเลยองค์กรนี้ก็เปรียบเหมือนไร้อนาคต ดังนั้น ถ้าจะดูอนาคตของนปช. ผมอยากจะให้ดูไปพร้อมๆ กับอนาคตประชาธิปไตยในประเทศไทย พวกผมโดยส่วนตัวความเป็นเพื่อนฝูง ความเป็นเพื่อน ความเป็นพี่เป็นน้อง มันตัดกันไม่ตายขายกันไม่ขาดนะครับ สู้ร่วมกันมาขนาดนี้ แต่ด้วยความจริงที่ปรากฏ บางคนข้ามฟากย้ายข้างไปทำงานให้กับฝ่ายผู้มีอำนาจไปแล้ว ก็ถือว่าในทางความสัมพันธ์ของการต่อสู้จบกันแค่นี้ บางคนก็อยู่ในช่วงสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมหลากหลายรูปแบบ นี่เป็นเรื่องที่พวกผมก็ต้องสู้กันต่อไป วันหนึ่งเราสู้บนเวทีชุมนุม เราสู้บนท้องถนน เรานำพาพี่น้องประชาชนออกไปแสดงพลัง มาถึงวันนี้ เราก็ต้องเปลี่ยนสถานการณ์มาสู้เพื่อรับมือกับผลกระทบทั้งหลายที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้กับปัญหาของพวกเราในวงแคบๆ แต่เรียนว่าพวกผมก็ยังสู้อยู่และจะไม่มีทางหยุดต่อสู้ และผมจะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนโดยการข้ามฟากย้ายข้างไปสมคบกับเผด็จการ โดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม’นายณัฐวุฒิกล่าว