จากกรณีหนุ่มแว่นหัวร้อน ที่กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึง รุนแรง และร้อนแรง กลายเป็นบทเรียนราคาแพงที่เตือนใจให้บุคคลทั่วไปต้องระมัดระวัง รวมทั้งให้ฉุกคิดถึงสิ่งที่เห็นและเป็นไปในทุกวันนี้ สังคมไทยเรากำลังเป็นอะไร... นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล คณบดีวิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก หมอบรรจบ (แพทย์ทางเลือก) ระบุ "นี่เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่ต้องพึงตั้งข้อสังเกตว่าสังคมไทยเราน่าจะกำลังป่วยด้วย Hate speech syndrome อยู่หรือไม่? ด้วยแต่ไหนแต่ไรมา เมืองไทยเคยได้รับสมญานามว่า "สยามเมืองยิ้ม" มีอะไรเกิดขึ้นหนักนิดเบาหน่อยคนไทยเรามักจะพูดว่า "ไม่เป็นไร" จนกระทั่งมีหนังสือแบบเรียนในสมัยประถมเรื่อง "ไม่เป็นไร ลืมเสียเถอด" เพราะประเพณีของชาวตะวันออกเราถือกันว่าเราเป็นพี่ๆน้องๆกัน เราจึงเรียกขานกันว่า ลุงป้าน้าอา และเรามีวัฒนธรรมการเคารพนบไหว้ กระทบกระทั่งกันบ้างก็พร้อมที่จะกล่าวขอโทษ ขออภัย กระทั่งใช้ดอกไม้ธูปเทียนกราบขอขมากัน และเราก็มีทุกๆศาสนาสอนให้เราประพฤติตนเป็นคนดี มีเมตตากรุณาต่อกัน กระทั่งถึงเรื่องของการอโหสิกรรมแก่กันด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าผู้กระทำผิดต่อเรารู้สึกตัวสำนึกผิด และขอขมาด้วยความจริงใจ
แต่แล้วในช่วงเวลาเพียงไม่นาน สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ากลัว มีกรณีหนุ่มแว่นหัวร้อนเป็นเพียงปรากฏการณ์ของภูเขาน้ำแข็ง คือแสดงปัญหาออกมาบนผิวน้ำเพียงเล็กน้อย แต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำลึกนั้นมากมายมหาศาล
มันบอกเราว่า: 1.พวกเราตกเป็นเหยื่อของ social media ที่ผู้คนแสดงต่อกันแบบโอ้อวด จอมปลอมเมื่อรู้สึกพอใจในตัวเอง และพร้อมจะดราม่าเรียกร้องคนมาเห็นใจจากใครไม่รู้ที่ไม่เคยเจอะเจอกันเลย เพียงเพราะเขาเป็นเพื่อนเฟส (โดยพ่อแม่หรือพี่น้องตัวเองที่ใกล้ชิดกลับไม่ปรึกษาหารือ) 2.พวกเราติดโรค Hate speech syndrome เข้าเต็มขั้น พร้อมจะรุมด่าใครก็ตามซึ่งตกที่นั่งเป็นผู้ถูกเกลียดชัง 3.พวกเราลืมประเพณีวัฒนธรรมไทยที่โอบอ้อมอารีต่อกัน ขออภัยกัน ให้อภัยกัน แต่เรากำลังกลายเป็นสังคม "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" เขาด่าเราด้วย Hate speech เราต้องด่าคืนให้ได้ ถ้าอีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ก็ด่าให้จมดิน 4.พวกเราถูกเสื้ยมจากคนบางกลุ่ม พวกเขาเริ่มจากบอกเราว่า การยิ้มของคนไทยไม่มีคุณค่า ความสัมพันธ์ลุงป้าน้าอาของคนไทยไม่มีความหมาย ในบ้านเมืองไม่ต้องมีผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ต้องมีสถาบันอันพึงเคารพ จากนั้นตามด้วยวัฒนธรรมคนรุ่นใหม่ที่ด่าคนซึ่งเห็นต่างด้วย hate speech แบบพรวดพราดออกมาเป็นชุด แล้วก็ถึงคราวสร้าง fake news ให้เราเข้าใจผิดต่อสถานการณ์บ้านเมือง ต่อสถาบันของชาติ สุดท้ายเราก็ตกเข้าสู่วังวนวัฒนธรรมใหม่แบบนี้กันหมด เห็นหรือไม่ว่า เราพากันป่วยด้วย hate speech syndrome แล้วทำให้บ้านเมืองเราไม่น่าอยู่ อย่างไรก็ตาม ใครทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด กฎหมายให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่สิ่งที่เราต้องเตือนตัวเองก็คือ ถ้าเราอยากได้ประเทศไทยที่น่าอยู่น่าอาศัยเหมือนเดิม ต้องเริ่มจากตัวเราเอง คิดไว้เสมอว่า เมื่อเราไม่อยากให้เขาทำกับเราเช่นไร เราก็ไม่ทำกับเขาเช่นนั้น หยุด hate speech รุมด่าใครบางคนได้หรือยัง? ถ้าคุณหยุด ไม่ได้เพื่อหนุ่มคนนั้นหรอกนะ แต่คุณกำลังเยียวยาตัวคุณเอง”