ปอท.ส่งสำนวนปิยบุตร หมิ่นศาลรัฐธรรมนูญให้อัยการนัดฟังคำสั่งครั้งแรก 28 พ.ย. ส่วนธนาธรยังรอลุ้นคดีวิจารณ์พลังดูดคสช. ตร.เห็นแย้งหรือไม่ 2 ธ.ค. เมื่อเวลา 9.00 น. วันที่ 28 ต.ค. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา ได้นัดแจ้งผลคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ว่า จะมีความเห็นแย้ง ในคดีที่พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายไกลก้อง ไวทยการ นายทะเบียนสมาชิกพรรค และน.ส.จารุวรรณ ศรัณย์เกตุ กรรมการบริหารพรรค ที่พนักงานสอบสวน บก.ปอท. ได้เคยส่งสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาทั้ง 3 ในความผิดฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จากกรณีผู้ต้องหาร่วมกันจัดราบการคืนวันศุกร์ให้ประชาชน ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ในเพจ อนาคตใหม่ The Future We Want และเพจ Thanathorn Juangroonjruangkit วิจารณ์กระแสข่าว กรณีพลังดูด คสช. และในวันเวลาเดียวกัน พนักงานสอบสวน บก.ปอท. ได้นัด นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ พรรคอนาคตใหม่ พร้อมนำสำนวนพร้อมความความเห็นสมควรสั่งฟ้อง มายื่นให้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญาพิจารณา สั่งฟ้องในความผิด ฐานดูหมิ่นศาล จากกรณีที่นายปิยบุตร เคยอ่านแถลงการณ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่มีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยในวันนี้ นายธนาธร เดินทางมาพร้อมกับนายปิยบุตร รวมถึง นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ ภายหลังจากเข้าพบพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า ในวันนี้ ทาง สตช . ยังไม่ส่งความเห็นกลับมาที่อัยการว่า จะมีความเห็นแย้งหรือเห็นด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ถ้ามีความเห็นแย้งก็จะต้องส่งอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาชี้ขาด แต่ถ้าเห็นด้วย คดีของนายธนาธรจะสิ้นสุดที่สั่งไม่ฟ้อง โดยพนักงานอัยการ ได้เลื่อนนัดแจ้งคำสั่งของ สตช.อีกครั้งในงวันที่ 2 ธ.ค. เวลา 10.00 น. สำหรับกรณีของนายปิยบุตร วันนี้ทางปอท. ได้นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องในความผิดฐานดูหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ มายื่นให้อัยการสำนักงานคดีอาญาเพียงข้อหาเดียว แต่ไม่ได้ยื่นในส่วนของความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งทางอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาได้นัดฟังคำสั่ง ในวันที่ 28 พ.ย. เวลา 10.00 น. ซึ่งในวันสองวันเราจะยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา เพื่อขอให้มีคำสั่งสอบพยานเพิ่มจากที่เราเคยร้องขอในชั้น ปอท. แต่ปอท.กลับไม่สอบให้ กลับสอบพยานที่มีแนวคิดตรงกันข้ามกับพรรคอนาคตใหม่ เพราะจากที่ดูข้อหามันไม่ใช่ประเด็นที่จะผิดกฎหมาย เป็นเพียงแค่มีความต้องการเอานายปิยบุตรขึ้นศาล เรามั่นใจว่าถ้าเป็นนักกฎหมายได้มาอ่านสำนวนที่ฟ้อง จะรู้ว่าเป็นเรื่องที่เบาหวิว ถ้าเป็นคดีของคนอื่นคงไม่รับฟ้องคดี ส่วนจะสอบพยานเพิ่มเติมก็จะเป็นพยานที่เกี่ยวพันในเหตุการณ์ นายปิยบุตร กล่าวถึงประเด็นที่โดนดำเนินคดีเรื่องวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนมองว่ามาตรา 198 ที่ว่าด้วยเรื่องการดูหมิ่นศาล เปิดโอกาสให้ใครก็ได้เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษในชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่ง พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมาย คสช. ก็ได้อาสาเป็นผู้ร้องทุกข์ในคดีนี้ ซึ่งตรงนี้แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของกฎหมายมาตราดังกล่าว เพราะต่อไปนี้หากมีบุคคลใดวิจารณ์ศาล ก็จะสามารถถูกใครก็ไม่รู้ที่ไม่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีได้ เรื่องคดีที่ตนและนายธนาธรโดนในวันนี้รวมถึงอีก 26 คดีที่พรรคอนาคตใหม่โดน ภายหลังจากการตั้งพรรคการเมืองมาได้เพียง 1 ปีเศษ ประชาชนคนทั่วไปสามารถวิเคราะห์กันได้ว่าทำไมถึงได้โดนคดีมากมาย ทั้งที่เรายังไม่เคยได้บริหารแผ่นดินหรือได้รับอำนาจอะไรเลย เป็นเพียง สส. ที่เป็นผู้แทนพูดในสภาแทนประชาชนแต่คดีกลับเต็มไปหมด อยากถามว่าทุกคนรู้สึกว่าพวกเราได้ทำผิดกฎหมายและต้องถูกยุบพรรคจริงหรือไม่ หรือว่าเพราะเราไปทำให้กลุ่มบุคคลที่ครองอำนาจอยู่ในขณะนี้ไม่สบายใจ พวกเราถึงต้องโดน ถ้าเชื่ออย่างหลังว่าเราจะต้องโดนเพราะไปขัดผู้มีอำนาจแบบนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องการเมือง เพราะถ้าไปเปิดกฎหมายอย่างละเอียด จะเห็นได้ว่าสิ่งที่แกนนำพรรคโดน หรือที่นายธนาธรโดนคดีในวันนี้ เรื่องมันควรจบตั้งนานแล้ว จากที่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง แต่วันนี้ตำรวจยังไม่ให้คำตอบมาก็ต้องยื้อ ต้องเสียเวลากันต่อไป ในส่วนของตนพนักงานสอบนสวน ปอท. ก็ไม่ได้สั่งฟ้องใน พรบ .คอมพิวเตอร์ แล้วคนที่ไปแจ้งความอย่าง พล.ต.บุรินทร์ได้มารับผิดชอบอะไรบ้างหรือไม่ หรือชีวิตมีแค่เดินไปฟ้องตำรวจอย่างเดียว เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่รู้อย่างเดียว ภาพรวมทั้งหมดเราเรียกกันว่าการดำเนินคดีเพื่อกลั่นแกล้ง หรือปิดปาก อย่างเรื่องการแจ้งข้อหาของ ปอท.ที่ตนได้อ่านสำนวนก็พบว่าเป็นเพียงข้อกล่าวหาที่เบาหวิว สิ่งที่ พล.ต.บุรินทร์เอามาแจ้งความตนก็เป็นการถอดเทปแบบผิดๆถูกๆ ไม่ตรงกับที่ตนได้พูด สามารถไปเปิดคลิปดูได้ ตนเองเป็นอาจารย์สอนกฎหมายเคยวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญมาตลอด ไม่เคยโดนคดีสักครั้งเดียว แต่พอเป็นนักการเมืองกลับโดนคดี อย่างเรื่อง หุ้นสื่อวี-ลัคฯ ที่จะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 20 พ.ย. ซึ่งวัตถุประสงค์ตามรัฐธรรมนูญเรื่องห้ามถือหุ้นสื่อ เพื่อป้องกันอิทธิพล จากนัการเมืองการครอบงำสื่อ แต่บ.วี-ลัค มีเดียไม่ใช่สื่อและปิดกิจการแล้ว กำลังอยู่ในช่วงชำระเลิกกิจการและมีการโอนหุ้นกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่กลับถูกดำเนินคดี ลองเทียบเคียงกับนักการเมืองที่ไม่มีหุ้นสื่อแต่กับมีคู่สมรสเป็นเจ้าของสื่อ คนๆนี้กลับไม่โดนอะไรเลย เรื่องนี้จึงต้องพิจารณากันถึงวัตถุประสงค์ของกฎหมาย.