คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย เท่าที่ผ่านมาในอดีตยังไม่เคยมีอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใดเลย ที่จะเป็นที่โจษจันได้มากเท่ากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงเกือบสามปีมานี้นักการเมืองในค่ายพรรครีพับลิกันหลายๆคนที่เคยร่วมแรงร่วมใจผนึกพลังออกมาวางตัวปกป้องประธานาธิบดีทรัมป์โดยปราศจากเงื่อนไข แต่ขณะนี้กลับดูเหมือนว่านักการเมืองเหล่านั้นเปลี่ยนท่าทีเริ่มถอยห่างออกจากประธานาธิบดีทรัมป์ไปเรื่อยๆอย่างค่อนข้างผิดสังเกตุ!!! “วุฒิสมาชิกลินเซย์ แกรม”ประธานคณะกรรมาธิการตุลาการแห่งวุฒิสภาที่เคยกางปีกปกป้องประธานาธิบดีทรัมป์อย่างแข็งขันมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เริ่มแหนงหน่าย โดยเมื่อวันอังคารของสัปดาห์ก่อน วุฒิสมาชิกแกรมได้ออกมากล่าวว่า “หากมีหลักฐานเพิ่มเติมได้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีเจตนาต้องการจะยื่นหมูยื่นแมวแลกเปลี่ยน (Quid Pro Quo) กับยูเครน โดยตั้งเงื่อนไขกดดันประธานาธิบดีของยูเครนว่า จะยับยั้งเงินช่วย 391 ล้านเหรียญ หากไม่ทำการตรวจสอบพฤติกรรมของอดีต “รองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” เพื่อหวังผลใช้ทางการเมือง และหากพิสูจน์ได้จริงๆ นับว่าน่าเป็นห่วงมากทีเดียว” เมื่อสองวันก่อนหน้านี้ “มิค มัลเวนีย์” เลขาธิการทำเนียบขาวก็ได้ออกมากล่าวยอมรับ ณ ทำเนียบขาวว่า “มีการตั้งเงื่อนไขเช่นนั้นจริง” และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆเท่ากับว่าประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งใจที่จะตั้งเงื่อนไข เพื่อนำมาใช้ประโยชน์เป็นการส่วนตัวทำลายโจ ไบเดน ที่คาดว่าจะเข้ามาเป็นคู่ต่อสู้คนสำคัญทางการเมือง การที่มิค วัลเวนีย์ ออกมาให้สัมภาษณ์เยี่ยงนั้น เท่ากับเป็นการเปิดแผลรูใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มออกมาให้ได้เห็นอย่างเด่นชัด!!! อนึ่งเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว “ฟรานซิส รูนเนย์” สมาชิกผู้แทนฯสองสมัย จากรัฐฟลอริดา สังกัดพรรครีพับลิกันในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู.บุช เขายังได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำวาติกันก็ออกมาให้สัมภาษณ์เช่นกันว่า “ข้าพเจ้าพร้อมที่จะรับฟังข้อเท็จจริงต่างๆเกี่ยวกับประเด็นอื้อฉาวกรณียูเครน และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆก็สมควรจะดำเนินการในแนวทางที่ถูกต้อง” โดยวันรุ่งขึ้นนักการเมืองผู้นี้ก็ได้ออกมาประกาศไม่ลงเลือกตั้งในสมัยหน้า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า เขาหลีกเลี่ยงไม่อยากจะถูกประธานาธิบดีทรัมป์โจมตีก็เป็นไปได้!!! อย่างไรก็ตามลองมาวิเคราะห์กันดูว่า ยูเครนมีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกาเช่นไร? ทั้งนี้ยูเครนอาจจะเป็นประเทศนอกสายตาของคนทั่วๆไปแต่แท้จริงแล้วยูเครนเป็นประเทศไม่เล็กที่อุดมสมบูรณ์มีความเป็นเลิศด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยยูเครนแยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียต เมื่อปี 1991 หลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ยูเครนมีกองกำลังทหารมากเป็นอันดับสองในแถบทวีปยุโรปรองจากรัสเซีย และยังเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปมีประชากรถึง 45 ล้านคน โดยมีพรมแดนด้านตะวันออกติดกับรัสเซีย อีกทั้งยูเครนยังเป็นประเทศที่มีทรัพยากรสมบูรณ์มากที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรด้านพลังงานนิวเคลียร์ John Herbst อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำยูเครนสามปีในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุชได้ให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุเอ็นพีอาร์ เมื่อวันที่ 30 กันยายนปีนี้ว่า รัสเซียเปิดฉากทำสงครามเย็นกับยูเครน ซึ่งสหรัฐฯจำเป็นที่จะต้องให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านการทหาร และด้านเศรษฐกิจ เพราะเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาไปในตัว แต่การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการที่จะยับยั้งไม่ส่งงบประมาณที่สภาคองเกรสอนุมัติไปช่วยเหลือยูเครนนั้น ถือเป็นเรื่องที่เหลวไหลใช้ไม่ได้ จะเห็นได้เลยว่าขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเผชิญกับวิกฤติหลายๆด้านด้วยกัน แถมยังถูกผีซ้ำด้ำพลอยเพราะหมากที่เขาใช้เดินเกี่ยวกับการสั่งให้ถอนกำลังทหารออกจากประเทศซีเรียผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง!!! เพราะทันทีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศออกมาเช่นนี้ปรากฏว่า “วุฒิสมาชิกมิชท์ แม็คคอนเนลล์”ผู้นำของวุฒิสมาชิก จากพรรครีพับลิกันซึ่งคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ตำหนิว่า “มาตรการของประธานาธิบดีทรัมป์ผิดพลาดอย่างมหาศาล” อีกทั้งสภาผู้แทนราษฎรก็ได้กล่าวประนามการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยมติ 354 ต่อ 60 เสียง และยังมีสมาชิกของพรรครีพับลิกันอีก 129 คนเข้ามาร่วมประณามประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยเช่นกัน!!! ผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ที่มีน้ำหนักมากที่สุดเห็นจะได้แก่วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์ จากรัฐยูทาห์ โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาได้ออกมากล่าวโจมตีวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์อย่างรุนแรงทั้งในกรณียูเครน และการถอนกำลังทหารออกจากซีเรีย โดยวุฒิสมาชิกรอมนีย์ได้ชี้ว่า การสั่งให้ถอนกำลังทหารออกจากซีเรียของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นไปอย่างเร่งรีบโดยปราศจากการวางแผนที่ดี เท่ากับเป็นการเปิดไฟเขียวให้กับตุรกีส่งกำลังทหารเข้าไปขยี้ชาวเคิร์ด ที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับทหารสหรัฐฯต่อสู้กับกลุ่มไอซิส นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดีทรัมป์ยังตัดสินใจผิดพลาดสร้างความเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก โดยเขาเอ่ยปากเสนอให้มีการจัดประชุมจี7 ในปีหน้าในรีสอร์ทของตนเองที่ฟลอริดา!!! ทันทีที่ประธานาธิบดีทรัมป์เอ่ยถ้อยแถลงออกมาปรากฏว่าเขาถูกโจมตีอย่างหนักจากทุกๆฝ่าย รวมถึงนักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันด้วย แต่ท้ายที่สุดประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถทนกระแสต่อต้านได้ เขาเปลี่ยนท่าทีใหม่โดยขอยกเลิก แต่ช้าเกินไปเพราะความเสียหายได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว โดยเขาถูกโจมตีอย่างหนักว่า ทำทุกๆอย่างเพื่อตักตวงผลประโยชน์เข้าหาตัวแทบทั้งสิ้น และล่าสุดสำนักหยั่งเสียง Quinnipiac University poll ซึ่งเป็นโพลที่รับความเชื่อถือสูงออกมาระบุว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่เห็นด้วยในกระบวนการถอดถอนที่มีถึง 51% และที่ไม่เห็นด้วย 45% อนึ่งนักประกาศข่าวอเมริกันรุ่นเดอะผู้ทรงอิทธิพลสองคนอันได้แก่ “แดน ราเธอร์” และ “แซม โดนัลด์สัน” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในช่องซีเอ็นเอ็นพร้อมกัน เมื่อวันจันทร์ที่เพิ่งผ่านมานี้ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นบุคคลที่ทำความอันตรายให้แก่สหรัฐอเมริกาอย่างมหันต์” และทั้งคู่ต่างเสนอว่าวุฒิสมาชิกในวุฒิสภาที่ยังคงกางปีกปกป้องประธานาธิบดีทรัมป์ น่าจะสำนึกและถอยห่างหันไปจับมือร่วมทำงานกับนักการเมืองของค่ายพรรคเดโมแครต เพื่อกำจัดประธานาธิบดีทรัมป์ออกไปจากวงโคจรเพื่อให้สหรัฐอเมริกาปลอดภัยเข้าสู่โหมดปรกติ!!! ล่าสุดเมื่อวันอังคารนี้ “มร.วิลเลียม เทย์เลอร์”นักการทูตมืออาชีพที่บรรดาเพื่อนๆนักการทูตด้วยกันต่างชูมือยกหัวนิ้วโป้งยกย่องว่า ประวัติของเขาใสสะอาดปราศจากมลทินใดๆ และถึงแม้ว่าเขาจะเกษียณอายุราชการไปแล้วก็ตามโดยเขาเคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศยูเครน ระหว่างปี 2006-2009 แต่เขาได้ถูกเรียกตัวกลับไปเพื่อรับตำแหน่งอุปทูตยูเครนหลังจากที่เขาเกษียณอายุราชการตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงปัจจุบันนี้ โดยเขาได้ไปให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนฯถึงสามชุดด้วยกัน ซึ่งเขาได้เอ่ยปากยืนยันออกมาว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์สร้างเงื่อนไขผูกมัดว่าจะไม่ยอมปล่อยเงินช่วยเหลือยูเครน จนกว่าประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี จะออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะตรวจสอบประวัติของอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนว่ามีนอกมีในทำผิดอะไรในยูเครนหรือไม่? กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นดูเหมือนว่าชะตาทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเข้าสู่โหมดจนมุมหาทางออกไม่ได้ แม้จะพยายามดิ้นทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดก็ตาม แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งพันเกี่ยวมัดแน่นยิ่งขึ้นเปรียบเสมือนลิงกำลังติดตาข่ายไม่รู้ว่าจะรอดได้ไปต่อหรือสิ้นท่าหมดอนาคตทางการเมืองไปเลยละครับ