สัปดาห์วิจารณ์/W7046 (คอลัมน์ สะพายกล้องท่องโลก) กนก กนธี [email protected] สัปดาห์นี้ 'กนก กนธี' ยังพาแฟนๆ คอลัมน์ สะพายกล้องท่องโลกตะลอนทัวร์ในแหล่งท่องเที่ยวสุดชิคใกล้ๆ เมืองไทย ที่สามารถเดินทางได้ง่ายๆ ทั้งรถยนต์ และเครื่องบิน เพราะอยู่ติดกันเป็นเมืองพี่เมืองน้อง 'หลวงพระบาง' ที่นับวันจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเที่ยวชมกันอย่างเนืองแน่น ฝันหวานที่หลวงพระบาง เริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพฯ ช่วงเช้าตรู่ ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ สู่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ซึ่งก่อนที่เครื่องบินจะร่อนลงจอด จะเห็นตัวเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง และแม่น้ำคาน ที่ไหลมาบรรจบกันท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม บ้านเมืองมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์สไตล์ฝรั่งโคโลเนียล ดูสงบเงียบ จึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกเมื่อองค์การยูเนสโกได้ยกย่องเมืองนี้ให้เป็นมรดกโลก แต่อย่างไรก็ดีตึกรามบ้านเรือนหลายๆแห่งในวันนี้ก็ได้แปรสภาพไปเป็น โรงแรมที่พัก เกสต์เฮ้าส์ ร้านกาแฟ ร้านอินเตอร์เน็ต บริการทัวร์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก เป็นต้น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงตามวงจรของโลกแห่งการท่องเที่ยวยุคโลกาภิวัตน์ นั้นเอง สนามบินหลวงพระบาง แต่ในส่วนของ 'กนก กนธี' คงนำเรื่องราวความงดงาม ที่สร้างความสุขมาฝากแฟนๆ หนังสือสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถหาอ่านได้ในคอลัมน์ สะพายกล้องท่องโลก ที่นี่ทีเดียวเท่านั้น โดยฉบับนี้เป็นเมืองที่อยู่ในความใฝ่ฝันของใครหลายๆ คน สำหรับเมืองหลวงพระบาง ที่ไม่ใช่มีดีเพียงสภาพบ้านเรือนสไตล์ฝรั่งโคโลเนียลอันเก่าแก่ หรือวิถีคนเมืองที่อยู่กันอย่างเรียบง่ายเป็นกันเองเท่านั้น ที่นี่ยังมีสิ่งดีๆ ที่น่าค้นหาอีกมากมาย เดินเที่ยวชมเมือง-วัด-วัง ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆ เครื่องบินก็ร่อนลงจอด ณ สนามบินหลวงพระบาง โดยมีพาหนะที่เป็นรถตู้พร้อมจะพาทุกคนเดินทางไปยังที่พัก ก่อนจะตระเวณท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ในช่วงสายๆ ซึ่งชาวบ้านแถบนี้บอกว่า ถ้าจะมาเที่ยวหลวงพระบางในช่วงที่ดีที่สุด คือ ช่วงปลายฝน ต้นหนาว อากาศกำลังดี และนักท่องเที่ยวยังมีจำนวนไม่มาก พระราชวังหลวงพระบาง สำหรับสถานที่แรกที่ 'กนก กนธี' มีโอกาสเข้าไปเที่ยวชม คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ พระราชวังหลวงพระบาง หรือ พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง สถานที่ยอดฮิตที่ทุกคนไม่ควรพลาด เป็นอาคารแบบฝรั่งแต่หลังคาเป็นแบบทรงลาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง หันหน้าเข้าสู่พระธาตุพูสี ตัวพระราชวังเป็นหมู่อาคารทรงเตี้ยๆ ชั้นเดียว ตั้งอยู่บนพื้นยกสูง มีความงดงามลงตัวของศิลปะยุคอาณานิคมผสมกับศิลปะแบบล้านช้าง สภาพโดยรอบมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ไม่หนาจนเกินไป ซึ่งการเข้าชมภายในตัวอาคารพระราชวังดังกล่าว จะต้องนุ่งชุดสุภาพ สำหรับสุภาพบุรุษห้ามนุ่งกางเกงขาสั้น หรือใส่เสื้อกล้าม ส่วนสุภาพสตรีห้ามนุ่งกางเกงขาสั้น หรือเสื้อแขนกุดในการเข้าชม อีกทั้งยังห้ามถ่ายรูปภายในตัวอาคารพระราชวังโดยเด็ดขาด ขณะที่บริเวณตรงข้ามพระราชวังหลวงพระบาง มีเนินเขาพูสี เป็นยอดเขาที่มีความสูงราว 150 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง ถ้าเดินขึ้นไปถึงบนยอดพูสี จะเห็นเมืองหลวงพระบางได้โดยรอบ รวมไปถึงเห็นสายลำน้ำโขงอีกด้วย มีบันไดขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือตรงข้ามพระราชวัง 328 ขั้น ตลอดทางขึ้นร่มรื่นไปด้วยต้นจำปา ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติลาว สำหรับบ้านเราเรียกกันว่า ต้นลั่นทม ทางขึ้นพระธาตุพูสี ทั้งนี้คำว่า พูสี นั้น 'กนก กนธี' ฟังมาจากผู้รู้ได้ความว่า เป็นภูเขาของพระฤาษี ส่วน พระธาตุพูสี สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอนุรุท ประมาณพุทธศักราช 2337 ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมทาสีทอง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมยอดประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริดเจ็ดชั้น สูงประมาณ 21 เมตร ช่วงที่พระธาตุนี้งดงามที่สุด คือ ช่วงตอนบ่ายแก่ๆ ยามที่มีแสงแดดส่องมากระทบองค์พระธาตุ ทิวทัศน์หลวงพระบาง ขณะที่ รอบๆ พระธาตุจะมีทางเดินให้ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบาง โดยด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะมองเห็นสนามบิน ส่วนด้านทิศตะวันตกจะมองเห็นแม่น้ำโขง ช่วงที่คดเคี้ยวเข้าหากันในเทือกเขาที่เห็นอยู่ลิบๆ และจากยอดภูสีแห่งนี้ ยังมองเห็นพระราชวังเดิมที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง อีกด้วย เวลาช้อปปิ้งที่บ้านผานม จากพระธาตุพูสี รถตู้คันเดิมพา 'กนก กนธี' เดินทางออกนอกเมือง ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 13 เหนือก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำคานเพียงเล็กน้อย ประมาณ 2 กิโลเมตร จากทางแยกบนถนนทางหลวงหมายเลข 13 เหนือ ก็จะถึง หมู่บ้านผานม ซึ่งถือเป็นจุดท่องเที่ยวซึ่งผู้มาเยือนหลวงพระบางมักถูกกำชับว่า พลาดไม่ได้ เพราะบ้านผานมแห่งนี้มีชื่อเสียงในการทำผ้าทอมือด้วยกี่กระตุกแบบดั้งเดิม ที่มีความงามของฝีมือและลวดลาย ทั้งผ้าแพรเบี่ยงลวดลายแบบลื้อแท้ๆ และผ้าที่ประยุกต์เป็นของใช้ในชีวิตปัจจุบัน เช่น ผ้าปูโต๊ะ ผ้าคลุมเตียง ผ้ารองแก้วรองจาน เป็นต้น โดยชาวบ้านผานม จะนำผ้าทอมาวางจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อที่ศูนย์หัตถกรรมกลางหมู่บ้าน จนกลายเป็นสินค้าซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหลวงพระบาง เลยทีเดียว หมู่บ้านผานม และอีกแห่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้ สำหรับ น้ำตกกวางสี น้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงพระบางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร เมื่อมาถึงลานจอดรถต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะพบกับน้ำตกกวางสี ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของหลวงพระบาง น้ำตกกวางสี โดยระหว่างทาง จะมีศูนย์ช่วยเหลือหมี ที่มีการนำหมีบาดเจ็บ ถูกทำร้าย มาดูแลไว้ในพื้นที่ควบคุม จนเมื่อเดินผ่านพ้นศูนย์หมีมาไปตามทางที่ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ ก็จะพบกับแอ่งน้ำตกชั้นล่าง เป็นชั้นเตี้ยๆ มีสายน้ำตกไหลแผ่กว้างพอประมาณตกลงมาในแอ่งน้ำกว้างสีเขียวอมฟ้า ณ จุดนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนมาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน จากจุดกระโดดน้ำ เมื่อเดินไปอีกไม่ไกล ก็จะเป็นตัวน้ำตกอีกชั้นหนึ่งไหลแผ่สยายเป็นแนวกว้าง จากนั้นก็เป็นตัวน้ำตกชั้นไฮไลท์ที่มีความสูงกว่า 70 เมตร ถือว่าสูงที่สุดในหลวงพระบาง กับสายน้ำที่ไหลทิ้งตัวลงมาจากหน้าผาสูง ดูสวยงาม ส่วนปริมาณน้ำ ก็จะขึ้นอยู่กับฤดูกาล ซึ่งในช่วงหน้าฝนน้ำก็จะมากหน่อย ส่วนหน้าหนาวน้ำปานกลางแต่สวยงามสุด ถนนคนเดินหลวงพระบาง สัมผัสวิถีชีวิตไนท์ไลฟ์ ครั้งยามเย็นย่ำตะวันโพล้เพล้ 'กนก กนธี' กลับเข้าเมือง เพื่อมาเดินชมเมืองบริเวณสี่แยกใจกลางเมือง ซึ่งจะมีการปิดถนนเป็นถนนคนเดิน ไปจนถึงหอพิพิธภัณฑ์ ตลาดม้งหรือตลาดชาวเขาที่วางของขายในตอนกลางวันจะเปลี่ยนเป็นไนท์มาร์เก็ต มีสินค้ามากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผ้าทอมือ เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องเงิน ของที่ระลึกต่างๆ ขณะที่ในซอยเล็กๆช่วงต้นตลาดก็เป็นตลาดอาหารที่มีของกินราคาย่อมเยาให้นักท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจเข้าไปลิ้มลองรสชาติจนอิ่มท้องกันได้ เมนูอาหารราคาย่อมเยา นับเป็นสีสันแห่งเมืองหลวงพระบางยุคใหม่ที่กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ เป็นโลกแห่งความเป็นจริงของเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักเดินทางทั่วโลก ส่วนสัปดาห์หน้า 'กนก กนธี' จะพาแฟนๆ คอลัมน์ สะพายกล้องท่องโลก ไปร่วมกิจกรรมสุดคูล และตระเวณเที่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวสุดเจ๋งของหลวงพระบาง จะเป็นที่ไหนนั้น ติดตามหาอ่านได้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ สัปดาห์วิจารณ์เท่านั้น