“มนัญญา" ลุ้นระทึกนาทีต่อนาที นับถอยหลัง 22 ต.ค.นี้ แบน 3 สารพิษหรือไม่ วอนคก.วัตถุอันตราย ขอความกรุณาปราณีคนไทยอย่าให้เจ็บป่วยกันมากกว่านี้ ยันไม่ใช่นักค้ายา ท้าดูปูมหน้าปูมหลัง แฉเงินวงการสารเคมีทำเงินหล่นทีเป็นพันๆล้าน หากรับจริงเรื่องเงียบแล้ว สั่งกรมวิชาการเกษตร เร่งนำบัญชีพืชสมุนไพรไทย 13 ชนิด ปุ๋ยอิยทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ โครงการหลวงของร.9 และกรมสมเด็จพระเทพฯ ขึ้นทะเบียนให้เกษตรกรได้ใช้เป็นทางเลือก เมื่อวันที่ 20 ต.ค. น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 ต.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่กระทรวงอุตสาหกรรม ในวาระพิจารณาแบน 3 สารวัตถุอันตรายทางการเกษตร ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ซึ่งตรงกับวันประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยหลังจากเสร็จสิ้นประชุม ครม. แล้วตนอาจจะไปติดตามผลมติจากที่ประชุมคกก.วัตถุอันตราย ว่าจะมีมติอย่างไร หากยังประชุมไม่จบวาระการแบนสาร “พี่ลุ้นระทึกนาทีต่อนาที เพราะทุกเรื่องที่ทำส่งไปสุดมือพี่ ขณะนี้นั่งรอดู คกก.วัตถุอันตราย รับไม้ต่อไป ทั้งนี้ท่านอนุทิน ชาญวีระกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ท่านทำสุดตัวหมดแล้ว โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ทำทุกนาที ทุกกรม เดินหน้าแบน 3 สาร ดังนั้นจะได้เห็นมติการแบน 3 สาร จากคกก.วัตถุอันตราย หรือไม่ ยังตอบไม่ได้ แต่เมื่อทำมาถึงขนาดนี้น่าจะมีความหวัง 90% อย่างไรก็ตาม ขอความกรุณาปราณี จาก คกก.ขอให้เห็นใจคนเจ็บ คนป่วย และอย่าให้คนไทย ต้องมาเจ็บป่วยไปมากกว่านี้เลย”น.ส.มนัญญา กล่าว น.ส.มนัญญา กล่าวว่า จากนี้จะสั่งให้กรมวิชาการเกษตร นำบัญชีพืชสมุนไพรไทย 13 ชนิดที่มีคุณสมบัติเด่น ในแต่ละชนิดสามารถนำมาผสมทำสูตรกำจัดวัชพืช แมลงโรคพืชต่างๆ และสูตรทำปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพของโครงการหลวงทั่วประเทศ ที่มีจำนวนมากหลากหลายสูตร ให้เข้าสู่ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเพื่อสามารถจำหน่ายได้ เพราะที่ผ่านมาการขึ้นทะเบียน ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ ที่ทำในประเทศ ยังขึ้นทะเบียนได้ยาก แม้จะมีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2553 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2553 ให้ยกเลิก วัตถุอันตรายตามบัญชี ข.ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมวิชาการเกษตร จำนวน 1 รายการ คือ ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกัน กำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก “พืชสมุนไพร13ชนิด นำไปใช้ป้องกัน กำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ประเทศไทยมีสมุนไพรที่มีประโยชน์มากพี่ต้องนำพัฒนาเพื่อเป็นทางเลือก ทางออกให้กับเกษตรกรไทย เราเกิดมาเป็นคนไทย ไม่ได้เป็นทาสใคร ของดีๆเรามีมากแต่ไม่หยิบมาใช้ จากนี้พี่จะเดินหน้าสนับสนุนปุ๋ยอินทรีย์ สารชีวภาพต่างๆที่มีความปลอดภัยโดยคนไทยคิดค้นได้เองให้เข้าสู่การรับรองมาตรฐานมากยิ่งขึ้น“รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าว น.ส.มนัญญา กล่าวอีกว่า ตนได้เห็นข่าวแล้วหงุดหงิดมากที่มีเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตร ไปตรวจสอบโรงงานของนักวิชาการอิสระ เป็นคนไทยคิดค้นจุลินทรีย์ กำจัดวัชพืช สามารถทดแทนสารพาราควอต ได้ผลดีทำมานานแล้ว จนต่างประเทศหลายประเทศนำไปใช้ แต่ที่ผ่านมายื่นขอขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร กลับไม่อนุญาต ซึ่งวันที่ 24 ต.ค.นี้ จะเชิญมาคุยหารือกันเพื่อร่วมกันศึกษาจุลินทรีย์ดังกล่าวทดแทนสารเคมีและใช้ทำเกษตรปลอดภัย นอกจากนี้ ตนจะไปดูโครงการหลวงของในหลวง รัชกาลที่ 9 มีสูตรทำปุ๋ยอินทรีย์ ที่มีประสิทธิภาพ และสูตรน้ำหมักกำจัดศัตรูพืช และโครงการหลวงของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขอพระราชทานนำสูตรมาขึ้นทะเบียนโดยกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้แพร่หลายไปยังประชาชน เกษตรกร นำไปทำใช้เองได้ “หน่วยงานรัฐ มีหน้าที่ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ดูว่าพระองค์ท่านทำอะไร พระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงทำให้คนไทยไว้มากมาย จากนี้ให้กรมวิชาการเกษตร รับสนองงานพระองค์ไปนำสูตร มาขึ้นทะเบียน ปุ๋ยอินทรีย์ พืชสมุมไพรไทย มีความหลากหลายนำมาต่อยอดเกิดประโยชน์มหาศาล ถ้าทุกหน่วยงานทำงานเพื่อประโยชน์สุขของคนไทย จะเกิดสิ่งดีที่สุดกับประเทศอีกมาก นอกจากนี้ ได้สั่งกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ระงับการอบรมเกษตรกรที่ใช้สารเคมีไว้ก่อน แม้กฏกระทรวง 5 ฉบับ จำกัดการใช้ 3 สาร มีผลวันที่ 20 ต.ค.นี้ ให้รอดูผลมติคกก.วัตถุอันตรายวันที่ 22 ต.ค.นี้ก่อน"น.ส.มนัญญา กล่าว เมื่อถามว่ากลุ่มเกษตรกรหนุนใช้ 3 สารเคมี โจมตีการแบนสารเป็นทษฏีสมคบคิดเพราะมีนักการเมือง เจ้าสัว ได้ผลประโยชน์จากนำเข้าสารตัวใหม่ น.ส.มนัญญา กล่าวยืนยันว่า ไม่ใช่อาชีพ และไม่เคยมีผลประโยชน์ทั้งปูมหน้าปูมหลัง มาดูได้ ไม่เคยคิดทำร้ายใคร ส่วนการหาสารทดแทนเป็นหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร และสารเคมี ยังมีอีกเป็นร้อยชนิดในท้องตลาดที่เกษตรกร เลือกใช้ได้โดยต้นทุนไม่สูงอย่างที่พูดกัน จริงๆเกษตรกรมีจำนวนมากได้ปรับตัวทำเกษตรปลอดภัยกันก่อนหน้านี้แล้ว “พี่ยกย่อง ท่านอนุทิน ทุ่มเทมากแบน3สารเพราะเห็นความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาสุขภาพกันมากขึ้น ซี่งท่านไม่ต้องการให้หน่วยงานทำอะไรสวนทาง กับการที่คนรักสุขภาพมากขึ้นกินผักปลอดสาร แต่ความเป็นจริง ๆยังทำตรงกันข้ามหมด ไม่รู้ว่าคนพวกนี้คงกินข้าววันละสิบจาน ถือกระเป๋าได้หลายใบ จึงไม่เห็นความเดือดร้อนของประชาชน ซี่งถ้าพี่มีเรื่องผลประโยชน์เรื่องก็เงียบไปแล้ว เงินพวกนี้ทำหล่นทีเป็นพันๆล้าน และให้มาสืบตรงไหนก็ได้หากพี่ไปรับมาจริงต้องเจอแล้วปานนี้ พี่ไม่ใช่นักค้ายา”น.ส.มนัญญา กล่าว