ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก "เคทีซี"กำไรสุทธิโต 8% อยู่ที่ 4,205 ล้านบาท ยอดลูกหนี้รวมขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบ 2 ปี ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตดีดตัวสูงขึ้นที่ 10.4% ส่วนหนี้ NPL รวม สามารถลดระดับลงไปอีกอยู่ที่ 1.07% เผยโค้งท้ายปีบริษัทรุกเพิ่มฐานสมาชิกต่อ พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันให้พอร์ตมีคุณภาพดี-แข็งแรงให้ดัชนีชี้วัดความสำเร็จต่างๆใกล้เคียงประมาณการที่ได้วางไว้ นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือบริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า เคทีซีได้มีการปรับกลยุทธ์มุ่งสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของจำนวนบัตรและพอร์ตลูกหนี้ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะทำให้ยอดลูกหนี้รวมมีอัตราเติบโตสูงที่สุดในรอบ 2ปีนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2560 แล้ว ยังส่งผลบวกให้ภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในช่วง 9 เดือนเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งสำหรับช่วงท้ายของไตรมาสที่ 3 ขณะเดียวกันพอร์ตลูกหนี้ยังมีคุณภาพดีต่อเนื่อง สำหรับไตรมาส 3 บริษัทมีกำไร 1,292 ล้านบาท ปรับตัวลดลงในอัตรา 7% เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของพอร์ต อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดหาบัตรใหม่ รวมถึงในการจัดโปรโมชั่นทางการตลาดเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตร เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายรวมของไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นที่ 10% ขณะที่รายได้รวมเติบโต 4%” โดย ณ วันที่ 30 ก.ย.62 เคทีซีมีกำไรสุทธิ 4,205 ล้านบาท พอร์ตลูกหนี้การค้ารวมเท่ากับ 79,618 ล้านบาท (ขยายตัว 9%) ฐานสมาชิกรวม 3.43 ล้านบัญชี (เติบโต 6%) แบ่งเป็นบัตรเครดิต 2,460,595 บัตร (ขยายตัว 7%)พอร์ตลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 51,137 ล้านบาท (ขยายตัว 10%) อัตราเติบโตของปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 9 เดือนอยู่ที่ 10.4% NPL รวม ลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 1.07% NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 0.96% สินเชื่อบุคคล 973,356 บัญชี (ขยายตัว 5%) ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 28,219 ล้านบาท(เติบโต 9%)NPL ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 0.83% ทั้งนี้ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เคทีซีมีรายได้รวม 16,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ย (รวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) เติบโต 7% รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวเท่ากับ 4% และหนี้สูญได้รับคืนเติบโตที่ 2% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม(Cost to Income Ratio) เท่ากับ 34% ลดลงจาก 34.8% ณ ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนค่าใช้จ่ายการบริหารงานอยู่ที่ 5,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนสมาชิกบัตรใหม่มากขึ้น จนทำให้พอร์ตลูกหนี้บัตรขยายตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งบริษัทยังได้จัดโปรแกรมการส่งเสริมการตลาดเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายการตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% ประกอบกับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าใช้จ่ายในการบริหารงานอื่นๆเพิ่มขึ้นด้วยที่ 5% และ 4% ตามลำดับ ในขณะที่ค่าธรรมเนียมจ่ายมีมูลค่าใกล้เคียงเดิม อย่างไรก็ตามบริษัทยังสามารถควบคุมมูลค่าต้นทุนการเงินอยู่ในระดับเดิมได้ สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินธุรกิจพิโกไฟแนนซ์(สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ) ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์(สินเชื่อรายย่อยผู้ประกอบอาชีพ) และธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันนั้น ในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.ที่ผ่านมา เคทีซีได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจทั้ง 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบระบบการให้สินเชื่อ ก่อนจะมีการปล่อยสินเชื่อจริงในวงกว้าง โดยคาดว่าทั้ง 3 ธุรกิจใหม่นี้จะสามารถเริ่มรับรู้กำไรได้ประมาณ 18-24 เดือนนับตั้งแต่วันที่ดำเนินธุรกิจจริง “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ ได้จัดสรรงบประมาณในการเพิ่มจำนวนฐานบัตรใหม่ในธุรกิจหลักต่อเนื่อง ทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล รวมทั้งเพิ่มงบการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของลูกค้าด้วยจุดมุ่งหมายให้พอร์ตลูกหนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีคุณภาพ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อกำไรรวมบ้าง” นอกจากนี้บริษัทจะติดตามสถานการณ์และเตรียมพร้อมกับสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ด้านต่างๆให้เหมาะสม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจทุกภาคส่วนให้เป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งมีผลการดำเนินงานทั้งปี 2562 ใกล้เคียงกับประมาณการที่ได้เปิดเผยไว้แล้ว