คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาทั้งหมด 27 ครั้งในรอบ 107 ปีที่ผ่านมานั้น ปรากฎว่าสองพรรคการเมืองยักษ์ใหญ่ต่างผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ โดยพรรคเดโมแครตสามารถกำชัยชนะ 14 ครั้ง ส่วนพรรครีพับลิกันชนะไปแล้วทั้งหมด 13 ครั้ง แต่ในช่วงหนึ่งร้อยเจ็ดปีได้มีนักประวัตศาสตร์อเมริกันลงความคิดเห็นว่า พรรคเดโมแครตมีอดีตประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ที่ติดในอันดับยอดนิยมหนึ่งในสิบห้า(Top 15)ถึง 7 คน นั่นก็คือ ประธานาธิบดีวู๊ดโรว์ วิลสันที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ, แฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์, แฮรี่ ทรูแมน,จอห์น เอฟ.เคนเนดี้, ลินดอล์น จอห์นสัน, บิล คลินตัน, และล่าสุดก็คือ ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ซึ่งเขาก็ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ อีกด้วยเช่นกัน ส่วน “ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์” แห่งพรรคเดโมแครตที่ถึงแม้ว่า จะเข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแค่เพียงสมัยเดียวก็ตาม แต่ท่านยังได้รับรางวัลโนเบล ในสาขาสันติภาพอีกด้วย และแม้ว่าขณะนี้ท่านจะมีอายุ 95 ปี แต่ท่านก็ยังคงทุ่มเทเสียสละทำงานเพื่อมวลมนุษย์ชาติอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย!!! ส่วนในค่ายพรรครีพับลิกันนั้นปรากฏว่า มีอดีตประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่เพียงสองท่าน นั่นก็คือ “ประธานาธิบดีดไวต์ ไฮเซนฮาวร์”และ “ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน” แต่กลับไม่มีประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกันได้รับรางวัลโนเบลเลยแม้แต่คนเดียว!!! อนึ่งการที่อดีตประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตสามารถเข้าไปนั่งครองใจชาวอเมริกันและนานาชาติจนติดอันดับประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ได้มากกว่าสืบเนื่องมาจาก พวกท่านเหล่านั้นเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ แก้ไขปัญหาวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจได้ดีกว่า สามารถแก้ไขปัญหาระหว่างนานาประเทศได้อย่างยอดเยี่ยมกว่า อีกทั้งยังสร้างโครงการต่างๆเอาไว้อย่างมากมายให้เป็นที่ประจักษ์และยั่งยืนตราบเท่าทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามอดีตประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกันที่ผ่านมาทั้งหมด 13 คนดูเหมือนว่า จะมีประธานาธิบดีท่านหนึ่งที่มีบุคคลิกลักษณะและนโยบายที่มีส่วนคล้ายคลึงกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั่นก็คือ “ประธานาธิบดีวอร์เรน ฮาร์ดดิ้ง” ที่เขาได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 29 เมื่อปี 1920 สิ่งที่ประธานาธิบดีฮาร์ดดิ้งมีคล้ายๆกับประธานาธิบดีทรัมป์ก็คือ เรื่องราวอื้อฉาวเหม็นโฉ่ทางด้านชู้สาวที่มีข่าวคราวกับบรรดาอิสสตรีมากหน้าหลายตา จนจำต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อใช้ปิดปากมิให้พวกเธอเหล่านั้นแพร่งพรายเรื่องราวต่างๆที่จูงมือไปกินในที่ลับ แต่ไม่อยากให้แบไต๋ออกมาในที่แจ้ง แถมฮาร์ดดิ้งยังปฏิเสธเรื่องนี้อย่างแข็งขัน โดยอ้างว่าข่าวเหล่านั้นเป็นเรื่องเท็จ ซึ่งดูๆไปแล้วราวกับว่าขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังลอกเลียนเอามาเป็นแบบอย่างแทบทั้งสิ้น!!! แม้กระทั่งนโยบายของประธานาธิบดีฮาร์ดดิ้งก็ยังมีส่วนคล้ายคลึงกับประธานาธิบดีทรัมป์หลายๆข้อดังเช่น นโยบายที่ว่า “สหรัฐฯต้องมาก่อน” (America First) ที่ลดภาษีให้กับคนรวย เหยียบย่ำคนจน ตัดโควต้าคนต่างด้าวที่ต้องการจะเข้าไปในสหรัฐฯให้ลดลงเป็นจำนวนมาก ขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าไปในสหรัฐฯ โดยครั้งนั้นเขาได้ถูกตอบโต้กลับจาก ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี และ เยอรมนี!!! และขณะที่ฮาร์ดดิ้งออกหาเสียงเขาได้เอ่ยปากให้สัญญาว่า “จะเชิญผู้ที่มีคุณสมบัติ มีความสามารถ และ มีความเชี่ยวชาญที่สุด เข้าไปทำเนียบขาว” แต่กลับปรากฎว่าบุคคลที่เขาเลือกมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไร้คุณสมบัติ ขาดประสบการณ์ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ประธานาธิบดีฮาร์ดดิ้งเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย เมื่ออายุเพียง 57 ปี ถือได้ว่าเขาเข้าไปนั่งครอบครองตำแหน่งในทำเนียบขาวเพียง 881 วัน และหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงแล้ว นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันต่างลงความเห็นว่า ประธานาธิบดีฮาร์ดดิ้งเป็นประธานาธิบดีสุดยี้ที่สมัยของเขาเป็นผู้นำมีการคอรัปชั่นมากที่สุด และนักประวัติศาสตร์อเมริกันยังจัดให้ประธานาธิบดีผู้นี้อยู่ในอันดับความนิยมรั้งท้ายเหมือนดั่งเช่นประธานาธิบดีทรัมป์ในขณะนี้ และยังมีการวิเคราะห์กันอีกด้วยว่า หากประธานาธิบดีฮาร์ดดิ้งไม่ด่วนลาจากโลกนี้ไปเสียก่อน เขาอาจจะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งก็เป็นได้!!! ส่วนขบวนการถอดถอน “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ออกจากตำแหน่งในขณะนี้กำลังทวีความเข้มข้นมากขึ้นทุกทีๆ เริ่มต้นขึ้นโดย “ประธานสภาผู้แทนราษฎร แนนซี เพโลซี่” ได้ออกมาประกาศดำเนินกระบวนการถอดถอนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคารที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมานี้ อีกทั้งเรื่องราวที่แสนสลับซับซ้อนก็เพิ่มทวีคูณมากขึ้นตามที่ประธานสภาฯเพโลซี่ออกมาชี้ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามกดดัน ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ รองประธานาธิบดีโจ ไบเดน สังกัดพรรคเดโมแครต ที่อาจจะเข้าไปเป็นคู่แข่งขันสำคัญของเขา เพื่อหวังจะเอามาใช้ใส่ร้ายป้ายสีในทางลบและยังตั้งเงื่อนไขว่าหากไม่ยอมทำตามจะไม่ปล่อยงบช่วยเหลือของสภาคองเกรสสู่ยูเครน” อย่างไรก็ดีประเด็นที่ได้เพิ่มความเข้มข้นของขบวนการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์มีหลายๆด้านด้วยกัน โดยเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมนี้ชาวยูเครนสองคนที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ รูดี้ จูลีอานี และรู้จักกับประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ถูกจับกุมขณะที่เขาทั้งสองกำลังจะเดินทางออกจากประเทศสหรัฐฯและขณะนี้ก็ถูกคุมขังจองจำอยู่ โดยเขาทั้งสองถูกตั้งข้อหาว่า ละเมิดกฎหมายของสหรัฐฯในการเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้ง โดยบริจาคเม็ดเงินให้กับนักการเมืองที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์!!! อนึ่งรูดี้ จูลีอานี นักการเมืองรุ่นลายครามที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองมาอย่างยาวนาน ก็ถูกโยงใยเข้าไปพัวพันเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่สุดกับกรณีที่เกี่ยวข้องกับยูเครน โดยเขาถูกพาดพิงว่า เป็นตัวกลางที่ติดต่อชักนำกับฝ่ายยูเครนมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยขณะนี้ รูดี้ จูลีอานี ยังรับหน้าที่เป็นทนายความส่วนตัวให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์อีกด้วย และยังมีกระแสข่าวจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์และหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัลว่า ขณะนี้ รูดี้ จูลีอานีกำลังถูกสอบสวนอยู่ ทั้งยังไม่แน่ว่าในอนาคตรูดี้ จูลีอานี จะยังคงเป็นทนายความให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์ต่อไปอีกหรือไม่? นอกจากนั้นคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรอีกสองชุดกำลังเรียกตัวผู้ที่เคยทำงานใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์หลายๆคน รวมถึง “กอร์ดอน ซอลแลนด์” เอกอัครราชทูตอียูที่ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งห้ามมิให้เขาให้ความร่วมมือในทุกรูปแบบ แต่เขากลับไม่แยแสต่อคำสั่งที่มาจากปากของประธานาธิบดีทรัมป์ !!! อีกทั้งยังมีนักการเมืองค่ายพรรคพรรคเดโมแครตที่กำลังลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีต่างเรียกร้องให้ถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง และยังมีมหาเศรษฐีท่านหนึ่งที่แสดงเจตนารมณ์ทุ่มเงิน 30 ล้านเหรียญโฆษณาให้คนอเมริกันรับรู้ถึงเล่ห์เหลี่ยมมะกอกหลายตะกร้าปาไม่ถูกของประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยเช่นกัน ส่วนความคิดเห็นของคนอเมริกันส่วนใหญ่ในขณะนี้ ต่างก็ออกมาสนับสนุนให้ดำเนินกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ดังเช่นสำนักโพล Axios/College Reaction เปิดเผยล่าสุดนี้ว่า 76% ของนักศึกษาสนับสนุนให้ถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ส่วน 97% ของสมาชิกพรรคเดโมแครตเห็นด้วยกับขบวนการถอดถอน แต่สมาชิกของค่ายพรรครีพับลิกันมีเพียง 22% ที่เห็นชอบด้วย และผู้ที่ไม่สังกัดพรรคถึง 76% สนับสนุนขบวนการถอดถอนด้วยเช่นกัน กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนฯทั้งเจ็ดชุดกำลังเร่งรีบเรียกพยานเข้าไปตรวจสอบอีกมากมายเพื่อต้องการขุดคุ้ยเปิดโปงเบื้องหลังเล่ห์เหลี่ยมอันแสนแพรวพรายหาตัวจับยากส์ของประธานาธิบดีทรัมป์ ให้คนอเมริกันได้รับรู้อย่างละเอียดตามระบอบประชาธิปไตยที่สหรัฐฯเคยเป็นแม่แบบที่แข็งขัน และเพื่อขจัดคนไม่ดีออกไป นำพาให้สหรัฐฯกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งละครับ