ศูนย์วิจัยธนาคารออมสินประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย(GDP)ปี 2562 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมารับผลกระทบกดดันสงครามการค้า-บาทแข็ง เกาะติด 5 ปัจจัยเสี่ยงถาโถมซ้ำ ทั้งส่งออกวูบ-ภัยแล้ง-น้ำมันพุ่ง-โครงการขนาดใหญ่ล่าช้า-การเมืองขัดแย้งทั่วโลก ขณะที่ในปี 2563 คาดว่าขยายตัวได้ร้อยละ 3.3 นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน คาดว่าเศรษฐกิจไทย ปี 2562 จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า และค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงกดดันสำคัญต่อภาคการส่งออก สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.3 การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2562 มีปัจจัยสนับสนุนจาก 1.มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยประคองกำลังซื้อภาคครัวเรือน 2.การออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนจากต่างประเทศ(Thailand Plus Package) ส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน 3.การท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัวแต่ได้รับการชดเชยจากนักท่องเที่ยวโซนเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ 4.ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักกลับมาดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น 5.การมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสร้างความเชื่อมั่นในการเจรจาเขตการค้าต่างๆได้ สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ได้แก่ 1.การส่งออกมีแนวโน้มหดตัวลง จากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.ภาคเกษตรได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตและรายได้ครัวเรือนภาคเกษตรมีแนวโน้มลดลง3.ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นจากความไม่สงบในตะวันออกกลางส่งผลต่อต้นทุนทางธุรกิจ 4.กระบวนการตรวจรับและเบิกจ่ายที่ล่าช้าในโครงการลงทุนขนาดใหญ่อาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5.สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในภูมิภาคต่างๆทั้งในตะวันออกกลางกรณีอิหร่านและสหรัฐฯ,ความขัดแย้งในแคว้นแคชเมียร์ระหว่างอินเดีย ปากีสถาน และจีน เป็นต้น ซึ่งหากการเจรจาไม่สำเร็จอาจพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นได้ ขณะที่ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี แต่มีแนวโน้มด้อยลงจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลลดลงจากการเกินดุลการค้าและดุลบริการที่คาดว่าจะเกินดุลน้อยลง ประกอบกับเงินบาทที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าสะท้อนจากดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงที่ปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ส่วนทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินที่มีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV)สำหรับการกู้ร่วม เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แรงกดดันจากความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชัดเจนขึ้น