วันที่ 12 ต.ค.62 ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ Suvinai Pornavalai ระบุว่า...ผมมองคำบรรยายของบิ๊กแดงเมื่อวานจากมิติความมั่นคงนะ ทำให้ทราบว่าตอนนี้กองทัพมองสถานการณ์ความมั่นคงในประเทศไทยอย่างไร ความขัดแย้งทางความคิดของปัญญาชนและนักเคลื่อนไหวปีกซ้ายที่ต่อต้านกองทัพและอำนาจรัฐ อันที่จริงมันดำรงมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน มาจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยประหนึ่งเป็นสาขาพรรคที่มุ่งจัดตั้งคนจีนโพ้นทะเลในเมืองไทยให้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการคอมมิวนิสต์ อาจารย์ปรีดี เองก็มีสัมพันธ์กับสากลที่หนึ่ง(คอมมินเทอร์น)ตั้งแต่เรียนอยู่ที่ฝรั่งเศสก่อนทำการปฏิวัติ 2475 เสียอีกต้นตอความคิดแบบฝ่ายซ้ายฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยตั้งแต่ 80 กว่าปีมาแล้ว ไม่เคยสูญหายไปไหน มีการสืบทอดทางความคิดจากรุ่นสู่อีกรุ่นจนมาถึงปัจจุบัน โดยที่ช่วงพีคสุดๆของขบวนการความคิดฝ่ายซ้ายในเมืองไทย คือช่วงระหว่างปี 2516-2523 ที่นักศึกษาเข้าป่าจับอาวุธร่วมกับพคท.ทำสงครามประชาชนนั่นแหละ ส่วนกองทัพไทยเองเริ่มมีเอกภาพทางความคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเต็มตัวก็ตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมาเพราะอิทธิพลของมหาอำนาจตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาที่ต้องการใช้ไทยปิดล้อมจีนคอมมิวนิสต์ รวมทั้งใช้ไทยเป็นฐานทัพอากาศส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดในสงครามเวียดนาม ขบวนการซ้ายไทยก็มีพลวัต กองทัพไทยก็มีพลวัตในช่วง 50-60 ปีที่ผ่านมา หลังจากขบวนการปฏิวัติไทยล่มสลายในปี 2524 พร้อมกับนโยบาย 66/2523 ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาที่เข้าป่ากลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ความคิดฝ่ายซ้ายไทยค่อยๆเริ่มกลายพันธุ์ไปเป็น "ความคิดลิเบอรัลเอียงซ้าย" เป็นกระแสหลักแทนจนถึงปัจจุบัน ส่วนกองทัพไทยเอง ก็ปรับตัวเป็นสายพิราบหรือสำนักคิดทหารประชาธิปไตยที่ขึ้นมาเป็นใหญ่แทน มิใช่สายเหยี่ยวขวาจัดที่มุ่ง"พิฆาตซ้าย" เหมือนในช่วง 6 ตุลา 2519 หลังจากผ่านยุคประชาธิปไตยครึ่งใบสมัยพลเอกเปรม เข้าสู่ทศวรรษ 2530 ปัญญาชนไทยหัวก้าวหน้าอดีตซ้ายผ่านศึกหันมาเล่นการเมืองภาคประชาชน ต่อสู้ทางวาทกรรมเป็นหลัก ขณะที่บางส่วนหันมาจับมือกับนักเลือกตั้งที่สร้างพรรคการเมืองเข้าสู่อำนาจรัฐผ่านการเลือกตั้ง ในช่วงนี้ เครือข่ายหัวคะแนนกับกลไกหาเสียง คือปัจจัยชี้ขาดในการเข้าสู่อำนาจรัฐ ทำให้พวกเจ้าพ่อทั้งหลาย นายทุนบางคนผันตัวมาเล่นการเมือง เป็นนักการเมืองเอง มิได้อยู่หลังฉากอีกต่อไป ส่วนกองทัพก็ยังแนบแน่นกับการเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยน ผ่านกลไกรัฐประหารเป็นช่วงๆตามวัฏจักรที่เป็นวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทยการรัฐประหารในปี 2549 และล่าสุด ปี 2557 ก็ยังมีบริบทต่างจากการรัฐประหารของรสช.ที่นำโดยบิ๊กสุโค่นรัฐบาลพลเอกชาติชายในช่วงต้นทศวรรษ 2530เพราะทั้งปี 2549 และปี 2557 กองทัพสามารถรัฐประหารได้เพราะเล่นบทตาอยู่ ฉกฉวยโอกาสที่ชนชั้นกลางในเมืองหลวงลงถนนต่อต้านรัฐบาลระบอบทักษิณที่คิดกินรวบประเทศไทยทั้งสิ้น ระบอบทักษิณกับกองทัพและเครือข่ายทุน-เทคโนแครตกลายเป็นคู่กรณีกันในการช่วงชิงอำนาจรัฐที่เป็นการต่อสู้กันเองในหมู่ชนชั้นนำเพื่อสถาปนาอำนาจรัฐ การต่อสู้นี้ยืดเยื้อมากว่า 12 ปีแล้วจนถึงปัจจุบันนี้ โดยที่ฝ่ายกองทัพกับเครือข่ายทุน-เทคโนแครตเป็นฝ่ายชนะบริบททางสากลตอนนี้ คือสงครามเย็นครั้งใหญ่ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา โดยที่เมืองไทยกลายเป็นจุดสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ ทั้งจีนและสหรัฐต้องการช่วงชิงมาเป็นฝ่ายตนท่าทีของกองทัพไทยพยายามวางตัวเป็นกลาง คบได้ทุกฝ่าย ไม่เข้าข้างใครอย่างออกนอกหน้าความพยายามของนักการเมืองรุ่นใหม่ที่พยายามชักศึกเข้าบ้าน โดยพยายามหาแรงสนับสนุนจากมหาอำนาจตะวันตกเพื่อ ทำให้ประเทศไทยเป็น"ประชาธิปไตย" ผ่านการลดบทบาทของกองทัพไทย จึงเป็นหมากอันตรายที่จะบั่นทอนความมั่นคงของประเทศที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาดุลอำนาจกับมหาอำนาจทุกฝ่ายผมเข้าใจความอึดอัดของบิ๊กแดงในการบรรยายเมื่อวาน เพราะบางเรื่องมันพูดไม่ได้จริงๆ ส่วนที่บิ๊กแดงเอ่ยตำหนิ ชำแหละฝ่ายตรงข้ามกับกองทัพ...ก็อย่าตีตนไปก่อนไข้เลย เมื่อสี่สิบปีก่อน ความเป็นปฏิปักษ์กันรุนแรงกว่าสมัยนี้มาก อย่างเทียบกันไม่ได้ พยายามเข้าใจมุมมองของทุกฝ่าย อยู่ร่วมกันอย่างสันติให้ได้แม้เห็นต่าง ร่วมปกป้องประเทศให้มั่นคงไปด้วยกันดีกว่า #สถาบันทิศทางไทย