นายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) วิสาหกิจของกทม.เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ ได้ทำหนังสือแจ้งผู้ประกอบการทุกรายเพื่อขอทราบความต้องการใช้ท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินในลักษณะของ “ไมโครดัก”ของทางบริษัทฯไปเมื่อวันที่ 18 ก.ย.62 และให้ผู้ประกอบการที่สนใจส่งเอกสารกลับมาที่บริษัทกรุงเทพธนาคม ภายในวันที่ 9 ต.ค.62 โดยได้จัดส่งหนังสือสำรวจความต้องการไปยังผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม แบบที่ 3 ทุกรายทั้งภาครัฐและเอกชน รวม 61 ราย
ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนด ปรากฎว่ามีผู้สนใจแจ้งความต้องการใช้ท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินในลักษณะ “ไมโครดัก”ของทางบริษัทฯ 8 ราย ประกอบด้วย 1.บริษัท เคเบิลคอนเนค จำกัด 2.บริษัท ทรู อินเตอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด 3.บริษัท อินฟอเมชั่น ไฮเวย์ จำกัด 4. บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) 5.บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) 6.บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) 7.บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และ 8.บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) และอยู่ระหว่างจัดทำเอกสารโดยมีจดหมายขอส่งเอกสารล่าช้าอีก 3 ราย
นายมานิต กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ในการขอทราบความต้องการใช้ท่อร้อยสายในครั้งนี้ กำหนดให้ระบุรายละเอียดความต้องการใช้ท่อร้อยสายแยกเป็นรายถนน 682 เส้นทางทั่วทั้งกรุงเทพฯ โดย ให้ผู้ประกอบการสามารถระบุความต้องการได้ว่าแต่ละถนนต้องการใช้จำนวนกี่ท่อ ทั้ง 2 ฝั่งถนนหรือไม่ และต้องการใช้ท่อในปัจจุบันกี่ท่อ และแผนในอนาคต 5-10 ปี จำนวนเท่าใด ซึ่งมีหลายบริษัทฯได้แจ้งเข้ามาว่าประสงค์จะแจ้งความต้องการใช้งานท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินของบริษัทฯ แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาและขั้นตอนจัดเตรียมเอกสารและข้อมูลให้ครบถ้วน ดังนั้น เพื่อเปิดโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน ให้ผู้ประกอบการทุกรายที่มีความประสงค์ กรุงเทพธนาคมฯ จึงเห็นควรขยายระยะเวลาการสำรวจความต้องการออกไป โดยเปิดรับเอกสารข้อเสนอความต้องการใช้ท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน จนถึงวันที่ 16 ต.ค.นี้
สำหรับขั้นตอนหลังจากที่ได้ทราบความต้องการใช้ท่อทั้งหมดแล้ว จะใช้เป็นข้อมูลที่สำคัญในการออกแบบระบบ และคำนวณต้นทุนก่อสร้าง ซึ่งจะสะท้อนมาเป็นอัตราค่าเช่าท่อ โดยจะสรุปข้อมูลเสนอไปยังคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อพิจารณาอัตราค่าเช่าท่อร้อยสาย ตามขั้นตอนต่อไป
กรรมการผู้จัดการเคทีกล่าวย้ำด้วยว่า บริษัทฯยืนยันว่าการดำเนินการทุกขั้นตอนโปร่งใสและพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการเพื่อให้กทม.เป็น มหานครที่สวยงาม ปลอดภัย ทันสมัย ตามนโยบายผู้ว่าฯกทม.ที่ต้องการผลักดันโครงการนี้ให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ภายใต้การดำเนินงานอย่างเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการทุกรายและสามารถตรวจสอบได้.
ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนด ปรากฎว่ามีผู้สนใจแจ้งความต้องการใช้ท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินในลักษณะ “ไมโครดัก”ของทางบริษัทฯ 8 ราย ประกอบด้วย 1.บริษัท เคเบิลคอนเนค จำกัด 2.บริษัท ทรู อินเตอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด 3.บริษัท อินฟอเมชั่น ไฮเวย์ จำกัด 4. บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) 5.บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) 6.บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) 7.บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และ 8.บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) และอยู่ระหว่างจัดทำเอกสารโดยมีจดหมายขอส่งเอกสารล่าช้าอีก 3 ราย
นายมานิต กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ในการขอทราบความต้องการใช้ท่อร้อยสายในครั้งนี้ กำหนดให้ระบุรายละเอียดความต้องการใช้ท่อร้อยสายแยกเป็นรายถนน 682 เส้นทางทั่วทั้งกรุงเทพฯ โดย ให้ผู้ประกอบการสามารถระบุความต้องการได้ว่าแต่ละถนนต้องการใช้จำนวนกี่ท่อ ทั้ง 2 ฝั่งถนนหรือไม่ และต้องการใช้ท่อในปัจจุบันกี่ท่อ และแผนในอนาคต 5-10 ปี จำนวนเท่าใด ซึ่งมีหลายบริษัทฯได้แจ้งเข้ามาว่าประสงค์จะแจ้งความต้องการใช้งานท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินของบริษัทฯ แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาและขั้นตอนจัดเตรียมเอกสารและข้อมูลให้ครบถ้วน ดังนั้น เพื่อเปิดโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน ให้ผู้ประกอบการทุกรายที่มีความประสงค์ กรุงเทพธนาคมฯ จึงเห็นควรขยายระยะเวลาการสำรวจความต้องการออกไป โดยเปิดรับเอกสารข้อเสนอความต้องการใช้ท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน จนถึงวันที่ 16 ต.ค.นี้
สำหรับขั้นตอนหลังจากที่ได้ทราบความต้องการใช้ท่อทั้งหมดแล้ว จะใช้เป็นข้อมูลที่สำคัญในการออกแบบระบบ และคำนวณต้นทุนก่อสร้าง ซึ่งจะสะท้อนมาเป็นอัตราค่าเช่าท่อ โดยจะสรุปข้อมูลเสนอไปยังคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อพิจารณาอัตราค่าเช่าท่อร้อยสาย ตามขั้นตอนต่อไป
กรรมการผู้จัดการเคทีกล่าวย้ำด้วยว่า บริษัทฯยืนยันว่าการดำเนินการทุกขั้นตอนโปร่งใสและพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการเพื่อให้กทม.เป็น มหานครที่สวยงาม ปลอดภัย ทันสมัย ตามนโยบายผู้ว่าฯกทม.ที่ต้องการผลักดันโครงการนี้ให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ภายใต้การดำเนินงานอย่างเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการทุกรายและสามารถตรวจสอบได้.