"สุชาติ" แนะ "บิ๊กตู่" ลดงบประมาณ-รายจ่ายที่ไม่จำเป็น พลิกฟื้นเศรษฐกิจ ชี้ นโยบายแจกเงิน ทำคนเสียนิสัย เพิ่มความยากจนระยายาว
ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตัวหน้าพรรคเพื่อไทย, อดีตรมว.คลัง, รมว.ศึกษาฯ และอดีตนักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก เปิดเผยว่า งบประมาณเป็นนโยบายการคลัง เป็นเงินที่รัฐบาลเก็บภาษี มาใช้จ่าย ขณะที่นโยบายการคลังเป็นหนึ่งในสามนโยบายที่รัฐบาลสามารถดูแลระบบเศรษฐกิจได้ มีอีก 2 นโยบาย คือนโยบายการเงิน กับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยใช้นโยบายการคลังอย่างเดียวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่ง นโยบายการคลังนี้ มีผลกระทบไม่มากต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะต้องเก็บเงินภาษีมา จากประชาชนทำให้เศรษฐกิจหดตัว ตอนนำไปใช้ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว ดังนั้นผลกระทบของนโยบายการคลัง จึงอยู่ในส่วนต่างระหว่างรายจ่ายรัฐบาลกับรายได้ภาษี
สำหรับนโยบายที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจมากที่สุดคือนโยบาย QE(Quantitative Easing) ซึ่งเกือบทุกประเทศในโลกนำมาใช้เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากๆ ทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน ใช้ นโยบาย QE กันหมด ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นขยายตัวได้มาก เช่น กัมพูชาโตขึ้น 6.8%, ลาว เวียดนาม พม่า ฟิลิปปินส์โตกว่า 6.5% มีแต่ประเทศไทยที่เติบโตต่ำมาก 2% เติบโตต่ำที่สุดในอาเซี่ยน เป็นเพราะว่าผู้บริหารประเทศไม่เข้าใจ พวกเขาคิดว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การแจกเงินสามารถแก้ปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด
“อยากให้ดูกรณีประเทศจีน ปธน.สีจิ้นผิง ตั้งใจแก้ปัญหาความยากจน โดยแก้ไขที่สภาพแวดล้อม พัฒนาเส้นทางคมนาคม ให้การศึกษา การรักษาพยาบาล ช่วยร่วมลงทุน ทำแผน ทำบัญชี ดูแลผู้สูงอายุ ทำให้คนจนมีรายได้มากขึ้นอย่างถาวรในระยะยาว” ศ.ดร.สุชาติ กล่าว
ศ.ดร.สุชาติ กล่าวอีกว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยใช้วิธีให้รัฐบาลกู้เงินมาแจกประชาชนให้ไปใช้จ่าย ให้ประชาชนไปกู้มาใช้เสริม ทำให้เสียนิสัย ทำให้เป็นทาสเงิน รอเงินแจกจากรัฐบาล เป็นการเพิ่มความยากจนในระยะยาว ซึ่งการแก้ไขความยากจนต้องเพิ่มที่รายได้ เพิ่มที่การออมการลงทุน ไม่ใช่เพิ่มที่การใช้จ่าย
ส่วนการที่รัฐบาลไปกู้เงิน 10,000 ล้านบาท แจกให้ประชาชน10 ล้านคน จึงเป็นการทำให้ประชาชนเป็นหนี้บุญคุณ ไม่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะเทียบกับ GDP ของไทย 17.8 ล้านๆบาท แล้วน้อยมากๆ น้อยกว่าครึ่งของครึ่งเปอร์เซ็นของ GDP แต่การกู้มาแจกทำให้รัฐบาลเป็นหนี้มากขึ้น พฤติกรรมประชาชนจะแย่ลง หากเรายังปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้ เราจะเป็นเหมือนเวเนซูเอลา จากประเทศที่ร่ำรวย ส่งออกน้ำมันอันดับสองของโลก วันนี้ไม่มีจะกิน
ประเทศไทยไม่มีระบบสวัสดิการสังคม แต่รัฐบาลใช้จ่ายถึง 18% ของ GDP หลายประเทศในภูมิภาคนี้เป็นรัฐสวัสดิการ เช่นสิงคโปร์ งบประมาณต่อ GDP ประมาณ 35% เป็นเงินสวัสดิการสังคม 20% และเป็นค่าบริหารประ เทศเพียง 15% ฉะนั้น งบประมาณที่รัฐบาลนี้จัดสรรดูจะมากเกินไป ควรลดรายจ่ายของรัฐบาลลง
ปัจจุบันรัฐบาลเก็บภาษีทั้งหมด 2.7 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 470,000 ล้านบาท เป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม 890,000 ล้านบาท ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ลง 1% ประมาณ 120,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือประชาชนในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ ลดภาษีมูลค่าเพิ่มดีที่สุด เพราะเป็นเงินที่อยู่ในกระเป๋าทุกคน ไม่มีคอรัปชั่น เงินที่รัฐบาลแจกให้ประชาชนอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเงินที่รัฐบาลกู้มา ประชาชนที่ได้รับเงินมาจะรู้สึกเป็นบุญคุณ โดยหลักการบริหารประเทศที่ดี ต้องสร้างรายได้ แล้วออมเงินไปลงทุน ไม่ใช่แจกให้ไปใช้แล้วเงินหมดไป
วันนี้รัฐบาลเป็นหนี้ 6.9 ล้านล้านบาทแล้ว หรือประมาณ 220% ของงบประมาณ หากนำประมาณทั้งหมดไปจ่ายหนี้ จะจ่ายได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของหนี้ ดังนั้นรัฐบาลควรลดการขาดดุลงบประมาณลง ควรคิดเรื่องงบประมาณสมดุลได้แล้ว
ถ้าเราดูรายจ่ายงบประมาณทั้งหลาย ปรากฏว่าเป็นรายจ่ายไม่จำเป็นจำนวนมาก ทุกกระทรวงมีงบประชาสัมพันธ์ คือการจัดอีเวนต์ ขึ้นป้าย โฆษณากิจกรรมในสื่อ และค่าใช้จ่ายเดินทาง ควรตัดงบนี้สัก 10% แล้วทำแบบจีน คือส่งเสริมให้ประชาชนที่ยากจนได้รับการศึกษา และให้เงินช่วยลงทุน
งบสำคัญอีกประการที่ต้องดูแลอย่างจริงจังคือ บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ปัจจุบันยังขาดแคลนอยู่ มีเหตุผลคือ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยจะไม่มีใครดูแลตัวเองได้เองเพียงพอ สังคมจึงควรเฉลี่ยความทุกข์
งบประมากลาโหม เป็นงบประมาณที่ใช้แล้วทำให้ประเทศเจริญช้าลง ใช้งบกลาโหมมากๆ อัตราการเจริญเติบโตของชาติจะต่ำ เราไม่เหมือนสหรัฐอเมริกา หรือจีน เพราะเขาผลิตอาวุธเอง จึงเป็น GDP เป็นผลผลิตของเขา แต่ของเราไม่ใช่ เราไปซื้อเขามา จึงเป็นรายจ่าย และก็ไปกู้มาซื้อ จึงเป็นปัญหาจริงๆ งบประมาณกลาโหมปีนี้ 300,000 กว่าล้านบาท จึงควรลดลง