จากที่มีข่าวหนุ่มถูกแมลงก้นกระดกกัด และแพ้จนเป็นเหวอะหนองขึ้นหน้านั้น นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ให้ความรู้เรื่องนี้ว่า ด้วงก้นกระดกหรือแมลงก้นกระดก พบมากในนาข้าวและพื้นที่การเกษตร โดยพบมากในช่วงปลายฤดูฝน จากข้อมูลด้านระบาดวิทยาของผู้ป่วยที่มารักษาที่สถาบันโรคผิวหนัง พบว่าช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม จะมีการกระจายตัวของผู้ป่วยภาวะผื่นผิวหนังอักเสบจากด้วงก้นกระดกมากที่สุด อาการผิวหนังอักเสบ เกิดจากการที่มีแมลงมาเกาะตามร่างกายแล้วเผลอปัด หรือบี้ทำให้แมลงท้องแตกและสัมผัสกับสารพิษในตัวแมลง อาการจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณสารพิษที่สัมผัส ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะมีอาการหลังสัมผัสแล้วประมาณ 8-12 ชั่วโมง พบมากบริเวณนอกร่มผ้า ลักษณะเป็นผื่นแดงหรือเป็นรอยไหม้ รูปร่างมักเป็นทางยาว เป็นไปตามรอยปาดของมือที่บี้แมลง ด้านพญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ลักษณะของผื่นที่โดนแมลงด้วงก้นกระดก ผื่นมีขอบเขตชัดเจน ในระยะ 2-3 วัน จะมีตุ่มน้ำพองใสและตุ่มหนองขนาดเล็กเกิดขึ้น อาการคันมีไม่มากนัก แต่มักมีอาการแสบร้อนร่วมด้วย หากสารพิษในตัวแมลงกระจายถูกบริเวณดวงตา จะทำให้ตาบวมแดง และอาจตาบอดได้ ทั้งนี้ ผื่นบริเวณใบหน้า รอบดวงตา หรือบริเวณผิวอ่อน มักจะมีอาการรุนแรงมากกว่าที่อื่น แต่บริเวณฝ่ามือจะไม่ค่อยมีอาการเนื่องจากมีผิวหนากว่าผิวส่วนอื่น ซึ่งอาการอักเสบเหล่านี้จะหายไปในเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยทั่วไปอาการอักเสบจากด้วงก้นกระดกจะไม่รุนแรง ยกเว้นในรายที่ได้รับพิษจำนวนมาก หรือแพ้รุนแรงจะมีไข้สูง และมีอาการทางระบบหายใจ ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า สำหรับการรักษาและการป้องกันเมื่อสัมผัสกับแมลงก้นกระดกให้ล้างด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ หรือเช็ดด้วยแอมโมเนีย อย่าเกาเพราะจะทำให้ติดเชื้อแทรกซ้อนได้ หากอาการไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงสัมผัสแมลง หากแมลงมาเกาะตามร่างกาย อย่าตบหรือตีแต่ให้เป่า หรืออาจจะใช้เทปกาวใสมาแปะตัวแมลงออกไป รวมทั้งก่อนนอนควรปัดที่นอน ผ้าห่มจนแน่ใจว่าไม่มีแมลง ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด เปิดไฟเฉพาะที่จำเป็นเพื่อไม่ให้แมลงชนิดนี้มาเล่นไฟ ขอบคุณภาพจากเพจ Piriya Jord Chukeawngam