จากกรณีก่อนหน้านี้ที่มีข่าวพนักงานบริษัทวัย 54 ปี ชาวญี่ปุ่นรายหนึ่งลงทุนแทงตัวเองในห้องน้ำของสถานีรถไฟ เพื่อหวังว่าการได้รับบาดเจ็บจะทำให้เขาไม่ต้องไปทำงาน เนื่องจากทนรับสภาพความเครียด ความกดดันในที่ทำงานที่ต้องเผชิญไม่ไหว อีกทั้งกรณีการฆ่าตัวตายของพนักงานสาวจบใหม่ วัยเพียง 24 ปี ในวันคริสต์มาสปีก่อน เพราะทำงานหนักติดต่อกันจนทนไม่ไหว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ในช่วงเวลา 1 เดือน เธอทำงานล่วงเวลาติดต่อกันมานานถึงกว่า 100 ชั่วโมง เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการทำงานหนักของสังคมญี่ปุ่น ที่ทุกคนเอาจริงเอาจัง ต้องแข่งขัน จนเกิดบรรยากาศไม่โสภาในที่ทำงาน เรื่องงานหนักเป็นเรื่องหนึ่ง จนทำให้ขณะนี้ หลายๆ บริษัทในญี่ปุ่นปรับลดวันทำงานของพนักงานจากสัปดาห์ละ 5 วัน เหลือสัปดาห์ละ 4 วัน เพื่อหวังจะแก้ปัญหาความเครียดในที่ทำงาน อย่างไรก็ตาม ยังมีความกดดันที่มาจากการต้องทำงานกับผู้บังคับบัญชาที่ไม่น่าพึงปรารถนานั้น อย่างหลังเห็นทีจะเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ลำบาก เพราะเป็นปัจจัยภายนอก คนเป็นลูกน้องหากมีทางเลือกที่ดีกว่าก็คงได้บอกลา แต่ในวันนี้เราจะมาว่ากันถึง "หัวหน้างานที่พึงปรารถนา" ว่ามีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง เพราะหากคุณไม่เอาใจเขาใส่ใจเรา วันหนึ่งคุณอาจจะต้องสูญเสียลูกน้อง สูญเสียมันสมอง และมือดีๆ ไปหมด ก่อนอื่นเลย ผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้าที่ดีจะต้องมี "ทักษะในการสื่อสาร" ที่ทรงประสิทธิภาพ ถือเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะต่อภาระหน้าที่ของตัวเอง หรือต่อโอกาสในการได้รับการเลื่อนตำแหน่งในอนาคต เพราะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่จะเอื้อประโยชน์ต่อความสัมพันธ์กับผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าเท่านั้น แต่ยังกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ อันจะนำไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมในองค์กรที่น่าทำงานมากขึ้น หลายคนทำงานกับหัวหน้าที่มีความสามารถ มีทักษะในการงานสูงมาก แต่ไม่มีทักษะในการสื่อสารเลย ก็จะเกิดช่องว่าง เพราะจะประสบผลสำเร็จแต่งาน แต่ในเรื่องความสัมพันธ์ไม่ได้เลย หัวหน้าที่ขาดทักษะสื่อสารจะไม่สามารถเปิดใจ ทำให้ลูกน้องเชื่อใจที่จะเข้ามาคุยอย่างเปิดอกได้ ขณะที่ คนที่มีทักษะสื่อสารที่ดี คนรอบข้างก็จะรู้สึกผ่อนคลายที่จะเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ด้วย ถัดมาคือ "ความหลงใหล" ผลการสำรวจโดยกัลลอป เกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกของพฤติกรรมการทำงานในสหรัฐฯ พบว่า ร้อยละ 55 ไม่ได้รู้สึกว่ามีส่วนร่วมกับการทำงาน เรียกว่าทำๆ ไปอย่างนั้น ขณะที่ร้อยละ 16 อันนี้หนักเลยเป็นพวกที่เบื่อหน่าย และไม่พอใจกับงานที่ทำ นี่เป็นเหตุผลที่ทำไม คนในระดับหัวหน้าจะต้องหลงใหลกับงานปัจจุบันที่ทำก่อน เมื่อเขาหรือเธอหลงใหล อยากที่จะทำงานนั้นๆ แล้ว ก็จะทำใคนรอบข้างรู้สึกอยากทำงานไปด้วย เพราะเห็นว่าผู้นำทุ่มเทให้กับงาน ทำงานอย่างมีความสุข เต็มไปด้วยพลัง สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนออกมาเป็นผลิตผลของตัวงาน เพราะผู้นำเหล่านี้จะไม่รีรอที่จะลงมาช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ใต้บังคับบัญชา แม้จะไม่ใช่หน้าที่โดยตรงก็ตาม ไม่มีใครอยากทำงานคนเจ้าอารมณ์ ในการทำงานอาจจะมีความเครียด ความกดดันบ้าง แต่คนเป็นผู้บังคับบัญชาต้องรู้จักแยกแยะ และควบคุมไม่ปล่อยให้ตัวเอง "น็อตหลุด" จนทำลายบรรยากาศของคนรอบข้าง บางคนอาจจะเกิดมาพร้อมกับความฉลาดทางอารมณ์ แต่สำหรับคนที่ไม่มีมาแต่ต้น เรื่องแบบนี้สามารถฝึกฝนกันได้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์ที่ไม่สมควรออกมา ตัวเองจะต้องตระหนักรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองเสมอว่าตอนนี้เรากำลังเหนื่อย โกรธ หรือเครียด หากคิดว่ายังไม่พร้อม หรืออาจจะแสดงออกทางสีหน้า วาจา ให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกไม่ดี ก็ควรหลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์ไปก่อน หลายคนพลาดโอกาสที่จะได้รับการเลื่อนขั้นทั้งๆ ที่มีความสามารถ ก็เพราะถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ "สลายอีโก" ยิ่งอยู่สูง ใจยิ่งต้องกว้าง หัวหน้าที่ประเภทพูดคำว่า "ผม/ฉันเป็นหัวหน้า" "คุณแค่ลูกจ้าง" อีกไม่นานลูกน้องก็คงต้องบอกลา เป็นธรรมดาที่ความยึดถือในอัตตาของคนที่เป็นหัวหน้างานจะสูงขึ้น เนื่องจากความก้าวหน้าทางอาชีพ ตำแหน่งในองค์กรของพวกเขา แต่หากปล่อยให้สิ่งนี้มีมากเกินไป จะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างผู้บังคับบัญญชา กับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก คนที่เป็นผู้นำพึงระวังว่าบางครั้งเพราะอัตตาอาจจะทำให้ไปลดค่าของคนรอบข้างโดยที่ไม่ตั้งใจ เรื่องอัตตาเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะทำให้คนเป็นหัวหน้าเป็นที่รัก และเคารพของผู้ตามที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม เพราะลูกจ้างทุกคนล้วนแต่ต้องการจะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า การลดอัตตายังจะทำให้คนเป็นหัวหน้ามีโอกาสได้รับความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ หรือไอเดียใหม่ๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะการที่ได้แสดงให้เห็นถึงว่าทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แต่หัวหน้าที่ถูกเสมอ รู้มากกว่าในทุกๆ เรื่องจะทำให้คนรอบข้างกล้าที่จะเข้ามาพูดจาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาได้ หัวหน้าที่พึงปรารถนาของผู้ใต้บังคับบัญชายังต้อง "ไม่กลัวที่จะทำงานสกปรก" งานสกปรกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงงานที่ผิด แต่อาจจะเป็นงานที่ไม่ได้มีเกียรติ หรืองานที่ยากลำบาก สิ่งหนึ่งที่คนเป็นผู้ตามอยากเห็นก็คือ การที่ผู้นำสามารถทำได้ทุกอย่าง ทำงานได้ทุกระดับในองค์กร ไม่เกี่ยงว่านี่เป็นงานของคนระดับล่าง เลยไม่ทำ ผู้นำแบบนี้ถึงจะมีแต่คนอยากทำงานด้วย และแน่นอน นี่จะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ได้รับการโปรโมต เพราะคนที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ไม่เลือกงาน ไม่เกี่ยงงานได้ นั่นจะเป็นคนที่ปรารถนาขององค์กร และผู้นำที่ดีจะต้อง "ลงทุนเวลาในการพัฒนาผู้ตาม" การที่ได้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับผู้ใต้บังคับบัญชา นั่นเป็นสัญญาณของผู้นำที่พึงปรารถนา เพราะนั่นแสดงให้เห็นถึงความอุทิศตน และคำมั่นส่วนบุคคลที่มีต่อผู้ตามว่าพร้อมจะแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ ชี้แนะ สอนสั่งเพื่อพัฒนาพวกเขาไปพร้อมๆ กัน แน่นอนผู้นำที่ลงคลุกคลีกับลูกน้องไปเพียงแต่จะเป็นผู้ให้ทั้งเรื่องงาน และประสบการณ์ชีวิตเท่านั้น พวกเขายังสามารถเรียนรู้เรื่องมีประโยชน์อื่นๆ กลับมาได้เช่นกัน สุดท้าย "เป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบข้าง" ผลการสำรวจโดยไอบีเอ็ม เกี่ยวกับคุณลักษณะของสุดยอดซีอีโอใน 64 ประเทศ พบว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ คนคนนั้นจะต้องมีความสามารถในการสร้างแรงบันดาลให้แก่ผู้คนรอบข้าง นี่เป็นคุณสมบัติที่ทรงพลังอย่างยิ่งที่ควรจะมีในสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ เพราะการเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นให้เขามุ่งมั่นทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่เพียงแค่ประโยชน์ต่อองค์กรในด้านประสิทธิผลของงานเท่านั้น แต่ยังได้ในเรื่องของจิตใจในการสร้างความเชื่อมั่น และความเป็นมืออาชีพให้ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย