ว่ากันตามตรง!! ลีกสูงสุดของวงการฟุตบอลผู้ดี “พรีเมียร์ลีก” ฤดูกาลใหม่ 2019-20 ในซีซั่นนี้ มี “ความเปลี่ยนแปลง” หลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อให้วงการฟุตบอลเกิดการพัฒนา มีมาตรฐานและสนุกสนานเร้าใจมากยิ่งขึ้นแน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลง ย่อมสร้างความไม่คุ้นเคย และยังไม่คุ้นชินต่างๆ และอาจทำให้แฟนบอล รู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง ทั้งการ “พักเบรก” คั่นกลางฤดูกาล เป็นครั้งแรก โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 131 ปีของวงการฟุตบอลอังกฤษที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น สาเหตุที่ทำให้มีการ “เบรก” เป็นเพราะจะทำให้นักเตะในลีกได้มีเวลาฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ดีขึ้น หลังจากกรำศึกหนัก นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ได้นำเอาเทคโนโลยี “VAR” หรือ video assistant referee เอามาช่วยตัดสิน เพื่อสร้างความยุติธรรมในเกมการแข่งขันให้มากขึ้น และเพื่อลดข้อผิดพลาดของผู้ตัดสินลง การนำเอา “VAR” มาใช้ ย่อมทำให้ข้อถกเถียงในจังหวะปัญหาต่างๆ ลดน้อยลงไป แต่อัตถรสในการชมอาจจะลดดีกรี ความสนุกและบั่นทอน “เสน่ห์ฟุตบอล”ลงบ้าง กล่าวอย่างชัดๆ คือ ทุกๆ จังหวะสำคัญจะ “เคลียร์ใจ” แน่นอน อย่างไรก็ตาม ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่เป็นลีกที่ขึ้นชื่อว่า มีทีมลุ้นแชมป์มากที่สุดในบรรดาลีกชั้นนำของยุโรป เพราะอาจนับไปได้ถึง “บิ๊ก 6” คือ แมนฯซิตี้, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส, เชลซี, แมนฯยูไนเต็ด และอาร์เซน่อล ซึ่งทุกทีมหากเข้าฟอร์มขึ้นมา ก็มีโอกาสผงาดขึ้นไปเขย่าบัลลังก์แชมป์ได้ แต่ ณ เวลานี้ผ่านพ้นไป 7 เกม พลพรรค “หงส์แดง” เด็กสร้างของ “เจอร์เก้น คล็อปป์” ได้แสดงให้เห็นว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนของทีมที่จะเป็นแชมป์ โดยพวกเขามีทั้ง “ฝีมือ” และ “โหงวเฮ้ง”ในการล่าแชมป์สมัยแรกให้ได้ หลังจากซีซั่นที่แล้ว เฉียดแบบเส้นยาแดงผ่าแปดมาแล้ว ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พร้อมแค่ไหนกับผลงานที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม “หงส์แดง” อาจจะมี “มารผจญ”มาคอยขัดขวางและอาจจะเป็นตัวแปร หรือที่เรียกกันว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า” ก็คือ “แมนฯ ซิตี้” เพราะด้วยขุมกำลังที่ดีอยู่แล้ว บวกกับการได้นักเตะใหม่ถอดด้ามอย่าง “เจา คันเซโล่” มาเติมแบ็กขวา และการได้ “โรดรี้” จากแอต.มาดริด รวมถึงการวางหมากของ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” ก็ยังน่าศึกษาค้นคว้าในโลกฟุตบอลยุคใหม่ ขณะที่ “คู่กัดตลอดกาล” อย่าง “ผีแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมี “โซลชาร์”กุนซือชาวนอร์เวย์ เข้ามากุมบังเฮียนแทน “โชเซ มูรินโญ” กลับทำผลงานได้น่าผิดหวัง 7นัดอยู่อันดับที่ 10 ของตาราง มี 9แต้ม จริงอยู่ที่ฟอร์มการเล่นที่ตกต่ำของทีมนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุผล เช่น ตัวผู้เล่นบาดเจ็บ หรือฟอร์มการเล่นตกพร้อมกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นความรับผิดชอบของ “กุนซือ” โดยตรงในฐานะผู้จัดการทีม ปัญหาใหญ่ที่สุดของ “โซลชาร์” ตอนนี้ คือความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการทำงานที่มีไม่มากพอ ดังนั้นเมื่อถึงยามที่ทีมเริ่มประสบปัญหา “กุนซือชาวนอร์เวย์ “จึงดูเหมือนจะรับมือไม่ถูกและรับมือไม่ไหวการตัดสินบางอย่างกลายเป็น “ดาบสองคม” โดยเฉพาะการปล่อย “โรเมลู ลูกากู” และ”อเล็กซิส ซานเชซ” ออกจากทีม และสามารถสร้างผลงานให้ต้นสังกัดใหม่ได้อย่างเฉิดฉาย เพื่อเปิดทางให้นักเตะรุ่นใหม่ขยับขึ้นมาทดแทน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครที่จะก้าวมาทดแทนได้แบบเต็มที่จริงๆ ผลงานที่เกิดขึ้น แน่นอนทำให้หลายคนเริ่มคิดถึงคนอื่นที่มีความสามารถมากกว่า และควรได้รับโอกาสเข้ามาทำทีมก็คือ “เมาริซิโอ โปเชตติโน”ที่เข้ามารบกวนจิตใจของ “โซลชาร์” ทุกครั้งที่จัดทีมลงสนาม แต่กระนั้นการจะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้จัดการทีมเวลานี้หรือในเวลาอันใกล้นี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับใครเลยจริงๆ “ทีมชุดนี้แย่กว่าทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว” เป็นคำพูดปิดท้ายในการแสดงความเห็นของ “โชเซ มูรินโญ” ที่มีต่อแมนฯ ยูไนเต็ด ทีมเก่าของเขาในรายการวิเคราะห์ฟุตบอลรายการหนึ่งที่ออกอากาศในอังกฤษ และเป็นการสรุปที่เจ็บปวด “มูรินโญยืน”ยันว่าเขาไม่ได้มีความสุขหรือสะใจกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่กับผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่แพ้ต่อ “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด”เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนจะเสมอกับ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล เมื่อครั้งที่ได้ “แฮร์รี แม็กไกวร์” ปราการหลังทีมชาติอังกฤษมาจาก “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ เป็นสถิติกองหลังมีราคาแพงมากที่สุดในโลกคนใหม่ หลายคนเชื่อว่านี่แหละคือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่จะทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด กลับไปทวงความยิ่งใหญ่ แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ “แม็กไกวร์” คนเดียวไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก เพราะปัญหาเรื่องขุมกำลังของแมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงหลายปีหลังนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าพวกเขามีขุมกำลังที่ดีไม่พอจะสู้กับคู่แข่ง ทั้ง “หงส์แดงและเรือใบ”ได้เลย แต่เชื่อมั่นได้ว่า ด้วยศักยภาพของทีมแชมป์และรองแชมป์ที่มีอยู่ในเวลานี้ บวกกับสิ่งที่ “เป๊ป กวาร์ดิโอลา” และ “เจอร์เก้น คล็อปป์” กุนซือลิเวอร์พูล ได้พิสูจน์ความสำเร็จมาก่อนหน้านี้แล้ว จะยังทำให้พวกเขาเป็นทีมเต็งที่จะคว้าแชมป์หลังจบฤดูกาลนี้ได้อีกครั้ง และคงจะมีเพียง 2 ทีมนี้เท่านั้น ที่จะสู้กันอย่างสนุก เผลอๆอาจจะเบียดคว้าแชมป์ด้วยแต้มเดียวกันก็ได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์ของ “เจอร์เก้น คล็อปป์” กุนซือลิเวอร์พูล หลังปรับแต่งตัวผู้เล่นตลอดคุมทีมจนประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกมาครอบครองเป็นสมัยที่ 6 จะสามารถนำทีมคว้าแชมป์ในลีกผู้ดี เกาะอังกฤษได้เป็นผลสำเร็จ ในฤดูกาล 2019 นี้ ถามว่า เพราะอะไร...... ง่ายๆเลยคือ “ฝีมือ” บวกกับ “โหงวเฮ้ง” ที่มี และไม่แน่น่ะ.....ฤดูกาลนี้ “หงส์แดง” อาจจะไม่แพ้ใครเลยก็เป็นไปได้ ใครจะไปรู้ แต่ที่แน่ๆ เวลายังเหลืออีกเยอะ สำหรับ ลีกที่ดีที่สุด ลีกที่แข็งแกร่งที่สุด และลีกที่ฮอตฮิตที่สุดในโลก ในการกำศึกลุ้นแชมป์ และคงจะเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่จะมัดใจแฟนบอลทั่วโลก รวมถึงแฟนบอลชาวไทยอย่างแน่นอน