จากกรณีนายไตรรงค์ ตันทสุข ทนายความ นำเอกสารภาพถ่ายการจัดสัมมนาและข้อมูลการเบิกจ่ายงบประมาณของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือ ปปช สนามบินน้ำ เพื่อเอาผิด พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. โดยอ้างว่า เป็นผู้ตั้งโครงการและเบิกเงินงบประมาณของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปจัดการสัมมนา 2 ครั้ง ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อสัมมนาเพิ่มศักยภาพการทำงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และอีกโครงการเป็นการตั้งงบประมาณเพื่อเลี้ยงส่งข้าราชการเกษียณ โดยนายไตรรงค์ อ้างว่า ผู้ที่เข้าร่วมได้พาครอบครัว ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปร่วมกิจกรรมและกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งถือว่าผิดวัตถุประสงค์การใช้งบประมาณของแผ่นดิน ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 2 ก.ย.62 พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า การใช้เงินงบประมาณในการพัฒนาบุคลากร ที่มีบุคคลไปร้องเรียนทาง ป.ป.ช. ตนขอยืนยันว่าสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ใช้เงินของพี่น้องประชาชนทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า สำหรับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เมื่อก่อนเป็นเพียงกองบังคับการ แต่ขณะนี้เป็นกองบัญชาการ จะต้องรองรับภารกิจ รัฐบาลด้านการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว เขตเศรษฐกิจพิเศษในทุกภูมิภาค รวมถึง AEC ซึ่งจะมีการพัฒนาข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ เช่น เรื่องของรถไฟความเร็วสูง จะต้องมีการพัฒนาบุคลากรจากเดิมที่มีเพียง 3,000 คน โดยปัจจุบันมีกำลังพลกว่า 6,000 คน โดยพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี 2552 และแก้ไขเพิ่มเติมให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีทุกจังหวัด จากเดิมที่มีบางจังหวัดตามหน้าด่านชายแดน ขณะนี้มีจำนวน 78 ด่าน ตม. (รวมเบตง และเชียงแสน) ไม่รวมกทม. ดังนั้นการทำงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองต้องเตรียมการรองรับในเรื่องต่างๆ และให้ทันยุคทันสมัย มีประสิทธิภาพ ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งล่าสุดได้รับบุคคลภายนอกมาเพิ่มอีก 900 นาย เป็นชั้นประทวน บรรจุให้ทำงานเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562 และคัดสรรกำลังพลชั้นประทวนเป็นสัญญาบัตร จำนวน 163 อัตรา โดยจะแต่งตั้งในวันที่ 10 ต.ค.62 นี้ พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ตามกฎหมายคนเข้าเมืองปีละประมาณ 10,160,000 บาท รวมถึงค่าปรับ เช่น กรณี overstays ปีละประมาณ 250 ล้านบาท และมีสถิติคนต่างชาติเดินทางเข้าออกประมาณ 30 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 80,000 คน โดยมีแนวโน้มการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวและบุคคลต่างชาติเดินทางเข้าออกประเทศเพิ่มมากขึ้น หากไม่มีการพัฒนาหรือไม่มีองค์ความรู้ หากเราไม่พร้อมเราก็จะเสียโอกาส โดยเฉพาะเรื่องภาษา การสังเกตบุคคล การใช้เทคโนโลยีไบรโอแมทริกซ์ รวมถึงเรื่องต่างๆ ที่จะต้องมีการเตรียมความพร้อม การรับคนต่างชาติเข้ามาในประเทศเรามีความพร้อมแล้วหรือไม่ การพัฒนาบุคลากรจาก 3,000 คน เป็น 6,000 คน จะต้องมีการเตรียมความพร้อม หัวหน้าด่านทุกด่านจะต้องมีองค์ความรู้ สิ่งสำคัญคือคนที่รับราชการมาอายุ 35-40 ปี ตลอดอายุราชการ ประสบการณ์หาซื้อไม่ได้ หากไม่จัดสัมมนากลุ่มย่อย เพื่อเอาประสบการณ์เอาความรู้และสิ่งที่เขาสัมผัสกับหน้างานของเขาทั้งชีวิต บางครั้งมองว่าดีกว่าเรียนปริญญาอีก จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งไปดูของจริง ทั้งทางทฤษฎีและหน้าด่าน ด้านการทำสาธารณประโยชน์ "หากใครก็ตามที่ทำให้เราเสียหาย เราก็จะต้องปกป้องสิทธิ พร้อมทั้งยินดีให้ตรวจสอบ ยืนยันว่าทำอย่างตรงไปตรงมา แต่อย่าเอาเรื่องที่ไม่จริงแล้วมาพูด ซึ่งตนไม่หวั่นไหว เพราะทำอย่างตรงไปตรงมา ยืนยันว่าใช้เงินอย่างคุ้มค่า ผมรับนโยบายมาแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ งานปราบปรามเราต้องทำ งานพัฒนาก็ต้องควบคู่กันไป หากเครื่องมือดีแต่คนไม่พัฒนาก็เปล่าประโยชน์ เราจึงต้องพัฒนาคนด้วย อันดับแรกจะต้องพัฒนาหัวหน้าหน่วย เพราะหัวหน้าหน่วยจะต้องไปประชุมชี้แจงไปให้ความรู้ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อไปกำกับการดูแลบริหาร จะต้องรู้ทุกหน้างาน" ผบช.สตม.กล่าวต่อท้าย