สตง.ระเบียบจัดพ่นพิษ ทำ “บัวแก้ว” เซ็นสัญญาซ้ำทำอีพาร์ตไม่ได้ นายกฯส่ง “วิษณุ” หัวหน้าคณะถกหน่วยงานเกี่ยวข้องหาทางออก ก่อนออกม.44 เมื่อเวลา 16.00น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรักษาความสงบเรียบร้อย(คสช.)ว่า คสช.ได้หารือกันถึงเรื่องอีพาสปอร์ตที่ปัจจุบันมีคนขอพาสปอร์ตและต่อพาสปอร์ตประมาณ 1 หมื่นเล่มต่อวัน ในการดำเนินการทำอีพาสปอร์ตของกระทรวงการต่างประเทศได้ไปว่าจ้างบริษัทในการทำอีพาสปอร์ตโดยมีสัญญาว่าจ้าง 7 ล้านเล่ม ถ้าครบเมื่อไหร่ถือว่าหมดสิ้นสัญญา โดยทำสัญญาเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งเหลือพาสปอร์ตอีก 3 หมื่นเล่มจะครบ 7ล้านเล่ม ถ้านับตามวันเหลืออีก 3 วันจะหมดสัญญา ดังนั้นเมื่อเลย 3 วันนี้ไปคนจะทำพาสปอร์ตจะทำไม่ได้แล้ว นี่จึงเป็นปัญหา กระทรวงการต่างประเทศได้จัดเตรียมการประกวดราคาแบบอีบิดดิ้ง เพื่อหาบริษัทใหม่มาดำเนินการ ซึ่งต้องใช้เวลา 1 ปีในการดำเนินการจึงจะเรียบร้อย พล.ท.สรรเสริญกล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศจึงคิดทางออกไว้คือการทำสัญญาใหม่กับบริษัทเดิม เรียกว่ารีพีท ออเดอร์ ให้ทำต่ออีก 1 ปี เพื่อให้พอดีกับเวลาที่ทำอีบิดดิ้ง และได้นำสัญญาที่จะทำกับเจ้าเดิมไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดดู และสำนักงานอัยการสูงสุดบอกว่าไม่สามารถดำเนินการได้ หากทำต่อต้องถูกสตง.ตรวจสอบ และจะพบเป็นความผิด จะทำได้อย่างเดียวคือออกมาตรา 44 เพื่อให้บริษัทเดิมทำงานไปก่อน 1 ปี จนกระทั่งทำอีบิดดิ้งและได้บริษัทใหม่มา ซึ่งที่ประชุมคสช.เห็นว่าใช้มาตรา 44 ฟุ่มเฟือยเกินไป ก็ไม่ดี อย่างกรณีวัดพระธรรมกายทุกคนก็เห็นว่าม.44 ไม่ขลังเหมือนเดิมหรือไม่ จึงยังไม่ออกคำสั่งมาตรา 44 ให้ แต่ให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯเป็นหัวหน้าคณะเชิญสตง.กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการ มาหารือว่ามีวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด ที่จะทำความเข้าใจกับสตง.ว่าถ้าคุณยึดในกฎกติกาอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงในโลกมนุษย์ ทุกอย่างไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงให้ไปดูว่าสตง.ยอมหรือไม่ ถ้ายอมก็หาจุดลงตัวได้ก็ทำรีพีทออร์เดอร์ ถ้าไม่ได้ก็ค่อยมาว่ากันตามคำสั่งตามมาตรา 44 แต่เห็นชอบในหลักการที่จะให้บริษัทเดิมทำหน้าที่ไปก่อนจนกว่าจะได้อีบิดดิ้ง