นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังทรุดลงต่อเนื่อง การส่งออกเดือนส.ค.ทรุดลง 4% โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.5% หรือ 4% ตามที่นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โม้ไว้คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ในขณะที่การส่งออกทรุด แต่ค่าเงินบาทไทยกลับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 6 ปี และยังมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าเพิ่มขึ้นไปอีก จากสาเหตุที่ธนาคารกลางสหรัฐลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ดังนั้นจึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องผลกระทบของค่าเงินบาท ได้เร่งแก้ไขปัญหา “อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ดูตัวอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ ที่มีบุคลิกโผงผาง และถูกวิจารณ์หลายด้าน แต่ให้ความสนใจในเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา และได้พยายามกดดันและไล่บี้ธนาคารกลางของสหรัฐให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง เพื่อให้รองรับปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งจนถึงปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐก็ยังไปได้ดี ความเป็นอยู่ของคนสหรัฐโดยรวมกลับดีขึ้น ตรงข้ามกับประเทศไทยที่มีผู้นำโผงผางและถูกวิจารณ์อย่างมาก แต่เศรษฐกิจกลับยิ่งย่ำแย่ ประชาชนลำบากกันถ้วนหน้า จนแทบจะทนกันไม่ได้แล้ว ถึงขนาดที่มีแฮชแท็ก “#ประยุทธ์ออกไป” เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นอันดับ 1 ในโซเชียลมีเดีย” นายพิชัย กล่าว นายพิชัย กล่าวอีกว่า เห็นด้วยกับนายสมคิด รองนายกฯ ที่บอกว่าการสร้างความมั่นใจของประเทศสำคัญกว่าอัตราดอกเบี้ย จึงอยากให้นายสมคิด ได้สอนวิธีสร้างความมั่นใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งต้องถามว่าการที่สื่อหลักต่างประเทศพากันโจมตีรัฐมนตรีที่มีปัญหาเรื่องยาเสพติด แต่รัฐบาลยังนิ่งเฉย จะสร้างความมั่นใจได้หรือไม่ ทั้งนี้ยังไม่นับเรื่องคดีปล่อยกู้กรุงไทยของนายอุตตม การถวายสัตย์ไม่ครบ การไม่แถลงที่มาของรายได้ในโครงการรัฐบาล เสียงปริ่มน้ำของรัฐบาล ข้อสงสัยในความรู้ความสามารถของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ฯลฯ ซึ่งจะแก้ไขและจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไร คิดง่ายๆว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล้าพาร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ร่วมเดินทางไปประชุมสหประชาชาติด้วยกันหรือไม่ แค่นี้ก็พอรู้กันแล้ว นายพิชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังดูเหมือนจะหลงทาง โดยการนำเอาจุดอ่อนข้อเสียของการทำรัฐประหารนำมาเป็นจุดขาย ทั้งที่อันดับความสะดวกของไทยตกต่ำมาตั้งแต่เกิดการปฏิวัติ โดยทรุดลงจากอันดับ 18 ก่อนการปฏิวัติ ลงไปต่ำสุดที่อันดับ 49 เลย และตลอด 5 ปีก็ยังไม่ดีขึ้นถึงที่เดิมโดยปีที่แล้วยังอยู่ในระดับต่ำ อันดับแค่ 27 แต่รัฐบาลพยายามนำมาเป็นจุดขายเหมือนกับว่าไม่มีอะไรจะให้ขายได้แล้ว ทั้งๆที่เป็นจุดที่น่าจะละอายมากกว่า และปีนี้ต้องดูกันว่าดีขึ้นเท่ากับก่อนการปฏิวัติหรือไม่ หลังจากเลือกตั้งแล้ว นอกจากนี้การที่ประเทศเวียดนามมีอันดับความสะดวกทำธุรกิจต่ำกว่าไทยมาก แต่กลับมีการลงทุนจากต่างประเทศมากกว่าไทยหลายเท่า ซึ่งต้องย้อนกลับไปดูเรื่องความมั่นใจของต่างประเทศที่ประเทศไทยแทบจะไม่มีเหลือแล้ว อีกเรื่องที่หลงทางหนักกว่า คือ การที่กระทรวงดีอี ควรจะต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และ disruption รวมถึงการที่ต้องพัฒนา Ai, Robotic และ Blockchain ฯลฯ แต่กลับไปใส่ใจกับเรื่องข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ จนเหมือนเป็นนโยบายเดียวของกระทรวงนี้ ทั้งที่เรื่องเฟกนิวส์ที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้คือเรื่องที่รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ออกมาแฉและกล่าวหาว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ เสธ.ไก่อู อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เจ้าของผังล้มเจ้าปลอมในอดีต ที่ได้ใช้สื่อรัฐในการกระจายเฟกนิวส์โจมตีพรรคคู่แข่งของรัฐบาลในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีหลักฐานการสั่งการในไลน์กลุ่มของผู้บริหารอย่างชัดเจน แถมยังมีหลักฐานรูปภาพการใช้เฟกนิวส์รายงานต่อ พล.ท. สรรเสริญ ในไลน์กลุ่ม นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยในการทุจริตในกรมประชาสัมพันธ์ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ตามข่าว รองอธิบดี ได้ทำเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. และ กกต.แล้ว ซึ่งอยากให้ กระทรวงดีอี , ป.ป.ช. และ กกต. ได้เร่งตรวจสอบ หากกระทำความผิดจริงก็น่าจะเร่งลงโทษ เพื่อสนองนโยบายการปราบเฟกนิวส์ของรัฐบาล โดยต้องเริ่มจากการตรวจสอบคนของรัฐบาลก่อน เพราะทุกคนทราบดีว่า พล.ท. สรรเสริญ เป็นคนของใคร และใครส่งเข้ามาเป็นอธิบดี “ในภาวะปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มั่นใจได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ อีกทั้งไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้ไทยเป็นที่ยอมรับของสังคมโลกได้ หากไม่เร่งแก้ไขเรื่องการสร้างความมั่นใจก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศได้” นายพิชัย กล่าว