"ทวี" ชี้ชัด: ที่ดินของรัฐต้องเป็นสมบัติของประชาชนและต้องหา "อาชญากร" ผู้อยู่เบื้องหลังการออกกฎหมาย EEC ให้เจอ วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2562 พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติและประธานคณะทำงานพรรคร่วมฝ่ายค้านและการมีส่วนร่วมของประชาชน ระบุในเวทีพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อประชาชนซึ่งจัดขึ้น ณ. ห้างสรรพสินค้าโรบินสันศรีราชาภายใต้หัวข้อ " หลากมุมมองโครงการ EEC กับ การมีชีวิตกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่ดี" ว่าต้องตรวจสอบ หรือ สำรวจที่ดินของรัฐที่มีอยู่ทั้งในส่วนที่ดินของ ส.ป.ก.ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 1.6 ล้านไร่และที่ดินราชพัสดุซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 5.6 ล้านไร่ในพื้นที่ EEC และอยู่ในการครอบครองของทหารเพื่อนำไปจัดการและจัดสรรให้ประชาชนเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำมาหากิน รวมถึง ต้องเปิดโอกาสให้ชุมชนเป็นผู้จัดการที่ดินด้วยตนเอง และรัฐบาลต้องไม่ออกกฎหมาย หรือ กระทำการใดๆที่ยังประโยชน์ให้กับนายทุนแบบที่เป็นมา เพราะเท่าที่ทราบพบว่า ที่ดินในพื้นที่ EEC ประมาณ 4 หมื่นไร่ซึ่งนายทุนได้กว้านซื้อไว้ที่ราคาเฉลี่ยไร่ละ 5 แสนบาทได้มีราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลายเท่าตัว หรือ โดยเฉลี่ยที่ราคาไร่ละ 15 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 300 เท่าทันทีที่มีการเปลี่ยนโซนสีพื้นที่ที่ดินจากเดิมสีเขียวซึ่งใช้เพื่อการเกษตรกรรม หรือ เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมเป็นพื้นที่สีม่วงซึ่งใช้ประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมและคลังสินค้า "โครงการ EEC เป็นการทุจริตเชิงนโยบายที่และเปรียบเสมือนการเสียดินแดนโดยวิธีพิเศษให้กับบุคคลคณะใดคณะหนึ่ง หรือ นักลงทุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่ยังไม่สายที่คนในพื้นที่จะรวมตัวกันและหาวิธีการร่วมกันว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่แท้จริงและที่สำคัญต้องหนุนเสริมให้ผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในการร่างกฎหมาย หรือ ตราธรรมนูญของตนเองเพื่อการบริหารจัดการท้องที่และท้องถื่น โดยเฉพาะที่ดิน หรือ ทรัพยากรที่มีอยู่และที่สำคัญชาวบ้านจะต้องไม่ถูกพรากไปจากแผ่นดินเกิด ดังนั้น พี่น้องประชาชนและพรรคฝ่ายค้าน รวมถึง ภาคีทั้งแนวดิ่งและแนวระนาบจะต้องร่วมกันกระชากหน้ากาก "อาชญากร" หรือ ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ EEC ออกมาเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้และรับทราบโดยเร็ว" พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง กล่าวในที่สุด