ราคาตลาดโลกพุ่งจากเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันซาอุฯ “กบง.”รับมือสั่งลดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เบนซิน1บาท-ดีเซล 60 สตางค์ มีผล18 ก.ย.62 คงราคาขายปลีก 3 เดือนลดค่าครองชีพชาวบ้าน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่าที่ประชุมมีมตินำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้บรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศซาอุดิอาระเบีย เพื่อป้องกันภาวะการขาดแคลน และการรักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลุ่มน้ำมันเบนซิน 1 บาทต่อลิตร และกลุ่มดีเซล 60 สตางค์(สต.)ต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน มีผลตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย.62 ทั้งนี้ผลจากการปรับลดเงินกองทุนน้ำมันฯดังกล่าวส่งผลให้สถานะบัญชีน้ำมันลดลงติดลบ 813 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีเงินไหลเข้า 1,210 ล้านบาท ในขณะที่ล่าสุดกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 39,402 ล้านบาท หากราคาน้ำมันดิบดูไบยังทรงตัวในระดับ 65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาขายปลีกในประเทศจะไม่เปลี่ยนแปลงหลังมีการตรึงราคาจากการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯไปดูแล ซึ่งจะดูแลเป็นช่วงๆไปโดยอย่างน้อยช่วง 3 เดือนนี้จะสามารถรักษาระดับราคาขายปลีกในประเทศไว้ได้ เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ที่ประชุมรับทราบมาตรการในด้านการจัดหาน้ำมัน หลังโรงกลั่นน้ำมันในซาอุดีอารเบียถูกโจมตีโดยจะนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ประเทศโอมาน เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันจากซาอุดิอาระเบียประมาณ 170,000 บาร์เรลต่อวัน โดย ณ วันที่ 16 ก.ย.62 ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือและปริมาณสำรองของประเทศ มีปริมาณรวม 6,407 ล้านลิตร เพียงพอใช้ได้ 54 วัน และปริมาณ ก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) สำหรับการใช้ในภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง สามารถเพียงพอใช้ได้ 12 วัน หากสถานการณ์ยาวนานเกินกว่า 12 วัน กรมธุรกิจพลังงานจะจัดสรรแอลพีจี ให้กับภาคครัวเรือนก่อนเป็นลำดับแรก