“พิชญ์ โพธารามิก”ลาออกจากผู้บริหาร JTS มีผล 17 ก.ย.62 ทันทีระบุไม่กระทบแผนธุรกิจ “ก.ล.ต.”ขีดเส้นตาย”พิชญ์ “ยินยอมรับทราบกล่าวหาภายใน10 วันหลังใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้น บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) แจ้งว่าตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยแพร่ข่าวการใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้ที่เกี่ยวข้องในกรณีของ บมจ.จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS) ผ่านทางเว็บไซต์ของ ก.ล.ต.เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา รวมถึงนายพิชญ์ โพธารามิก ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการของบริษัท และมีการระบุว่าการใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งดังกล่าวจะเป็นเหตุให้บุคคลดังกล่าวข้างต้นเข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจ โดยจะต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน ซึ่ง ก.ล.ต.อยู่ระหว่างดำเนินการต่อไปนั้น ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจาก ก.ล.ต.เกี่ยวกับการให้พ้นจากตำแหน่งของกรรมการและผู้บริหารดังกล่าว แต่ได้รับหนังสือแจ้งการลาออกจากตำแหน่งของนายพิชญ์ โพธารามิก ซึ่งแจ้งว่ายังไม่ได้รับทราบรายละเอียดจาก ก.ล.ต.ในเรื่องดังกล่าว แต่เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี จึงขอลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว โดยให้การลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2562 เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างจัดประชุมคณะกรรมการเป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทนนายพิชญ์ โพธารามิก ทั้งนี้บริษัทเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงการดำเนินการตามแผนธุรกิจที่วางไว้แต่อย่างใด นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยเลขาธิการ สายบังคับใช้กฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)กล่าวว่าสำนักงาน ก.ล.ต.กำหนดระยะเวลาให้นายพิชญ์ โพธารามิก และนายเกริกไกร ไตรบัญญัติกุล ให้มาบันทึกยินยอมรับทราบการกล่าวโทษและยินยอมชำระค่าปรับทางแพ่งและส่งคืนผลประโยชน์ภายใน 10 วัน นับจากวันที่คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ได้มีมติให้ ก.ล.ต.นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้งสองรายกรณีใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้นบริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS โดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งและส่งคืนผลประโยชน์รวม 59.10 ล้านบาท ทั้งนี้หากผู้กระทำความผิดดังกล่าวไม่ยินยอมทำบันทึกการกล่าวโทษและจ่ายค่าปรับทางแพ่ง สำนักงานก.ล.ต.ก็จะดำเนินการส่งเรื่องฟ้องต่อศาลแพ่งต่อไป ซึ่งการเรียกค่าปรับทางแพ่งอาจเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันหรือมีการเรียกค่าปรับในอัตราที่สูงสุดหรือ 2 เท่าของค่าปรับและผลประโยชน์ที่ได้รับ นอกจากนี้ในส่วนของบทลงโทษในส่วนของการเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนนั้น ก.ล.ต.เตรียมออกประกาศการขาดลักษณะของผู้ที่ขาดความน่าไว้วางใจของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนภายในเร็วๆนี้ ซึ่งต้องพ้นออกจากตำแหน่งการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งโทษดังกล่าวมีกรอบระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 3ปี