“ประภัตร” เร่งเครื่องศูนย์ข้าวชุมชนกว่า 2 พันแห่งทั่วประเทศ ไปให้ถึงเป้าปี 63 ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี 2 แสนตัน ระบุชาวนาต้องการพันธุ์ข้าวใหม่ 1.4 ล้านตันต่อปี ปลูกได้รุ่นละ 3 ปีต้องเปลี่ยนพันธุ์ เมื่อวันที่ 16 ก.ย. นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเชื่อมโยงเครือข่ายประธานศูนย์ข้าวชุมชนระดับเขต กล่าวว่า ศูนย์ข้าวชุมชนมีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์กลางถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาการผลิตข้าวและชาวนา และผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีไว้ใช้เองอย่างเพียงพอในชุมชน เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดี ที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับเรื่องข้าวมาโดยตลอด ชาวนาจึงเปรียบเสมือนผู้สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ จึงต้องสร้างระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของประเทศให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง โดยกระทรวงเกษตรฯ พร้อมจะสนับสนุนเครื่องมือต่างๆ อาทิ เครื่องคัดแยกเมล็ด เครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก รวมไปถึงการสร้างแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการทำนาให้กับศูนย์ข้าวชุมชนแต่ละพื้นที่ เป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากภัยแล้งได้ รวมทั้งยังเป็นแหล่งน้ำอุปโภค บริโภคในหมู่บ้านได้อีกด้วย สำหรับความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวของไทยนั้นมีปริมาณสูง ประมาณ 1.4 ล้านตันต่อปี เพื่อใช้เพาะปลูกในพื้นที่นาประมาณ 60 ล้านไร่ อย่างไรก็ตามเมล็ดพันธุ์ข้าวสามารถใช้ปลูกต่อเนื่องได้ประมาณ 3 ครั้ง จากนั้นต้องเปลี่ยนชุดใหม่จึงมีความต้องการเป็นจำนวนมากเกินศักยภาพของส่วนราชการที่จะผลิตได้ ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จึงได้สนับสนุนและส่งเสริมให้ชาวนาในแต่ละท้องถิ่นรวมตัวกันตั้งเป็นศูนย์ข้าวชุมชนทำหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีบริการประชาชน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาข้าวและชาวนาในท้องถิ่นนั้นๆ โดยให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการ และปัจจัยการผลิตที่จำเป็นแก่ศูนย์ฯ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2543ของกรมส่งเสริมการเกษตร และต่อมาปี 2549 กรมการข้าวได้ดำเนินการต่อ ปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนศูนย์ข้าวชุมชนแล้วทั้งสิ้น 2,028 ศูนย์ กระจายอยู่ในแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญทั่วประเทศ มีสมาชิกรวม 61,680 ราย สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีบริการชาวนาได้ปีละประมาณ 100,000 ตัน “อย่างไรก็ตาม เมล็ดพันธุ์เปรียบเสมือนต้นน้ำ ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพก่อนถึงมือเกษตรกรเพื่อนำไปเพาะปลูก พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป้าหมายการผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพให้เพิ่มขึ้นจากเดิม 85,000 ตันต่อปี เป็น 200,0000 ตันต่อปี ภายในปี 2563 โดยจะสนับสนุนเครื่องมือที่จำเป็น นอกจากนี้ต้องหาตลาดที่มีคุณภาพ สามารถติดต่อซื้อขายกับผู้ซื้อได้โดยตรง โดยการทำระบบซื้อขายออนไลน์ มีระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อทราบแหล่งที่มา พร้อมกับติดโลโก้เครื่องหมาย Q บนสินค้าเพื่อเป็นการยกระดับเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ได้มาตรฐานสินค้าเกษตรปลอดภัยผ่านการรับรองจากกระทรวงเกษตรฯ สร้างความน่าเชื่อถือ และสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้”รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าว