เจ้าของร้านขายหม่ำและร้านชาบูชื่อดัง เข้าแจ้งความตำรวจขอนแก่น เอาเรื่องตามกฎหมายให้ถึงที่สุดกับสาวแว่นซึ่งเป็นญาติบ้านติดกัน หลังถูกหลอกด้วยการที่สาวแว่นออกอุบายสร้างเรื่องครอบครัวแตกแยกอยากกลับมาเปิดร้านขายชาบูที่บ้านเกิด ด้วยความเชื่อใจจึงยอมลงทุนให้ก่อน สูญเงินเกือบ 650,000 บาท ต้องขายรถ ขายที่ดินเอาเงินมาให้จนหมดตัว เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 14 ก.ย. 2562 ที่ สภ.พล จ.ขอนแก่น นายธรรมรัตน์ โพธิ์สุวรรณ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 359 ม.12 บ้านสว่าง ต.โจดหนองแก อ.พล จ.ขอนแก่น และ น.ส.มยุรา ปะจิคะ อายุ 38 ปี สองสามีภรรยาเจ้าของร้านหม่ำมยุราและร้านมยุราชาบู นำหลักฐานที่เป็นข้อความคุยทางไลน์และสลิปการโอนเงินเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ สุรศักดิ์ เอมกลาง สว.(สอบสวน)สภ.พล จ.ขอนแก่น ให้มีการสืบสวนสอบสวนและจับกุมตัว น.ส.มล(นามสมมุติ) อายุ 31 ปี ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกันในข้อหาฉ้อโกง นายธรรมรัตน์ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อประมาณกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา โดย น.ส.มลกลับมาอยู่ที่บ้าน และได้เข้ามาปรึกษาว่า อดีตสามี นักธุรกิจทำเส้นก๋วยเตี๋ยวส่งขายทั่วประเทศ อาศัยอยู่ที่เมืองพัทยา ให้กลับมาอยู่บ้าน และให้หาธุรกิจทำอยู่ที่บ้าน จึงสนใจอยากทำ9ร้านชาบูเหมือนกับที่ตนเองและภรรยาทำ และอยากเรียนรู้การทำหม่ำขายด้วย ซึ่ง น.ส.มลนั้นเป็นญาติฝ่ายภรรยา " ที่ผ่านมา น.ส.มล ไม่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน แต่มีการติดต่อกับครอบครัว สั่งหม่ำไปขายวันละ 5,000บาท ก็มีการโอนเงินจ่ายทุกวัน ทั้งยังคงเห็นพานายแจ้อดีตสามีมาเยี่ยมบ้าน และสร้างบ้านหลังใหญ่ แต่เพิ่งกลับมาบ้านเมื่อกลางเดือนสิงหาคม ด้วยความเป็นญาติพี่น้อง มาปรึกษาเรื่องการทำธุรกิจและศึกษาการค้าขายหม่ำ และการทำร้านชาบู ก็ให้คำปรึกษาและให้เข้ามาศึกษาที่ร้าน เพราะถ้าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วอดีตสามีจะให้เงินมาทำธุรกิจ โดย น.ส.มลอ้างว่า อดีตสามีจะได้เงินจากกงสีจำนวน 3,200,000 บาท ในช่วงสิ้นเดือน ส.ค. เมื่อได้เงินก้อนนี้ก็จะเอามาลงทุนที่บ้าน จึงหลงเชื่อและสอนการทำหม่ำ ให้ดูธุรกิจร้านชาบู ในขณะเดียวกันก็ให้ติดต่อสื่อสารกับนายแจ้ผ่านไลน์ ซึ่งทราบว่านายแจ้ทำธุรกิจขายเส้นก๋วยเตี๋ยวและอื่นๆอีก จะได้ส่วนแบ่งจากกงสีจำนวน 3 ล้านกว่าบาท แต่การจะได้เงินจำนวนดังกล่าว ต้องมีเงินมาเติมในบัญชีกงสี ซึ่งเป็นเงินที่นายแจ้ อ้างว่าได้เอาเงินในบัญชีกงสีมาหมุนในธุรกิจ จึงมีการโอนเงินให้นายแจ้เรื่อยมา รวมเป็นเงิน 649,100บาท โดยบัญชีที่โอนให้นายแจ้นั้น โอนผ่ายบัญชีของ น.ส.มล และ น.ส.นิพาภร รัตนภักดี ซึ่งนายแจ้อ้างว่า น.ส.มลเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ส่วน น.ส.นิพราภรนั้นเป็นเจ้าของบัญชีกงสี" นายธรรมรัตน์ กล่าวต่ออีกว่า สุดท้ายเรื่องแดงเพราะพี่สาวมาขอยืมเงินและว่าจะเอาเงินไปให้ น.ส.มล เพื่อหลบเลี่ยงในการที่จะถูกตำรวจจับกุม จนได้มีการพูดคุยในรายละเอียดกันและทราบว่า พี่สาวก็ถูก น.ส.มลมาหลอกเอาเงินไป 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ได้พยายามติดต่อ น.ส.มลมาพูดคุย แต่ก็ปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ทราบเรื่อง ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเงินจำนวนดังกล่าว จึงได้หารือกันเข้าแจ้งความ โดยตัวเองแจ้งจับ น.ส.มลในข้อหาฉ้อโกงและให้นางสาวมลเอาเงินมาคืน ส่วนพี่สาวก็แจ้งความเช่นกัน แต่แจ้งคนละคดี ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าภายหลังรับแจ้งความ พนักงานสอบสวนได้แนะนำให้ผู้เสียหายไปติดต่อกับธนาคารเพื่อขอหลักฐานเพิ่มเติม และจะได้ออกหมายเรียก น.ส.มลมาสอบสวน หากออกหมายเรียกไปแล้วไม่มาก็จะรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับ จับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป