ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก สำหรับพรรคเพื่อไทย หลังส.ส.ในพรรคปากยื่นไปปั่นกระแสว่าพรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบ จนเกิดอาการกินแหนงแคลงใจกันระหว่าง 2 พรรคแล้ว คราวนี้ระเบิดมาลงที่พรรค เมื่อส.ส.เปิดศึก “ตบกะโหลก” กันคาที่ทำการพรรคเพื่อไทย กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ เรียกว่าตีกันเองในบ้าน ก่อนทั้งที่มีศึกใหญ่รออยู่ คือซักฟอกกับนายกฯ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องของเรื่อง มาจากอาการ “ขบเหลี่ยม -ปีนเกลียว”กัน ระหว่าง ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กับ นวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.ขอนแก่น พรรคเดียวกัน ในการประชุมกรรมาธิการทางด่วน ที่ฝ่ายหลังกล่าวหาฝ่ายแรกเรื่องการรับผลประโยชน์ จนถูกแขวะกลับเรื่องคดีความ แม้จะมีการปรับความเข้าใจกันแล้วแต่ไม่เป็นผล จนเกิดอารมณ์ค้าง โดย “นวัธ” พาพวกอีก 2 คนบุกไปพบ “ยุทธพงศ์”หรือ “โจ้” ในห้องของ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค และให้พรรคพวกล็อกแขน “โจ้”ก่อนลงมือตบไปที่ศรีษะ ต่อหน้าหัวหน้าพรรคและผู้ใหญ่ในพรรคหลายคน จน “โจ้” ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจส.น.มักกะสันมาพาตัวออกจากพรรค และแจ้งความฐานถูกทำร้ายร่างกาย “เราทำหน้าที่ ส.ส. ที่กล่าวหากันเรื่องรับผลประโยชน์หากนายนวัธ มีหลักฐาน ก็ไปแจ้งความเอาผิด แต่นี่กลับมาใช้อาญาเถื่อน เราเป็นส.ส.ยังทำแบบนี้ แล้วชาวบ้านจะเป็นอย่างไร” โจ้ ระบุ ขณะที่ “นวัธ” ยอมรับว่าไม่พอใจที่ถูกสบประมาทว่าไม่มีความสามารถทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการฯ ทำให้เกิดอารมณ์และต้องการที่จะเคลียร์ปัญหา ด้วยการเข้าไปดึงตัวออกจากห้องหัวหน้าพรรค ซึ่งได้เกิดเหตุชุลมุนขึ้นแต่ยืนยันว่าไม่ได้ตบศีรษะยุทธพงศ์ พร้อมขอโทษหัวหน้าพรรค สมาชิกพรรคและประชาชน “อยากเรียกมาคุย มาเคลียร์ข้างๆ ห้องหัวหน้าพรรค หัวหน้าพรรคได้บอกว่าให้ยุติ ผู้ใหญ่ในพรรคก็สั่งให้ผมยุติ ส่วนตัวก็พร้อมจะยุติ เพราะไม่ใช่คนเกเร เป็นนักเลงหัวไม้ เป็นเพียงโปรโมเตอร์เอานักมวยขึ้นชกกันเท่านั้น ต่อยคนไม่ค่อยเป็น” สำหรับโปรไฟล์ของทั้งคู่ มาที่ “ยุทธพงศ์” หรือ “โจ้”ก่อน ที่มีดีกรีเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ปัจจุบันอายุ 47 ปี เป็นส.ส.มาแล้ว 3 สมัย ครั้งแรกในการเลือกตั้งปี 2544 ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จากนั้นย้ายค่ามาอยู่กับพรรคเพื่อไทย และได้รับการเลือกตั้งในปี 2554 และล่าสุดในปี 2562 เคยนั่งเก้าอี้เสนาดีที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนนวัธ นั้นอายุ 62 ปี เติบโตมาจากการเมืองท้องถิ่น เคยเป็น ส.อบจ.ขอนแก่น เขตอ.หนองเรือ และรองนายก อบจ.ขอนแก่น ก่อนเข้าสู่การเมืองระดับชาติในการเลือกตั้งปี 2548 ในนามพรรคมหาชนแต่สอบตก ก่อนย้ายค่ายมาอยู่พรรคพลังประชาชน และได้เป็นส.ส.ขอนแก่นปี 2550 เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบจึงย้ายมาอยู่เพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งปี 2554 และล่าสุดในการเลือกตั้งปี 62 ก็ยังคงสวมเสื้อพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทางคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องพิสูจน์ต่อไปว่าใครผิด ใครถูกและนำไปสู่บทลงโทษ เพราะคู่กรณีให้การเหมือนหนังคนละม้วน ขณะที่พรรคเพื่อไทยต้องเร่งจบเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะหนีไม่พ้นที่จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรค เป็น “จุดอ่อน” ให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเขย่าเพื่อไทย