นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวเปิดใจกับพนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และมวลชนที่เดินทางมาให้กำลังใจที่บ้านพระอาทิตย์ ตอนหนึ่งถึง สถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ว่า ตั้งแต่ตนเป็นหนุ่มจนอายุ 72 ปี การเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยน อย่างกรณีปมถวายสัตย์ฯ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่มีการมาทะเลาะกันเรื่องแบบนี้ ทำไมไม่ให้เขาทำงาน บริหารแผ่นดินกันไปก่อน ระบอบประชาธิปไตยเป็นเพียงลมปาก และมันก็มีกลไกเผด็จการอยู่ในตัวของมันถ้าจะเปรียบเทียบพล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลตอนนี้ ก็เหมือนเด็กท้องไม่มีพ่อ เมื่อรับรู้ความจริงแล้ว ก็ต้องยอมรับ แล้วก็ต้องมองไปถึงการเลี้ยงลูกต่อไปในอนาคตให้ดี ปกครองให้ดี ดังนั้นก็หวังว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะทำงานดี เอาส่วนรวมของประเทศมาก่อนลำดับแรก ไม่เอาพวกพ้อง ถ้าเป็นแบบนี้ได้ประเทศก็น่าจะมีอนาคต “ผมไม่อยากให้คนมาทะเลาะกันอีกแล้ว แต่คนที่คิดต่างเราต้องยอมรับกันให้ได้ ผมยังสงสารช่อ น.ส.พรรณิการ์ วานิช เลย เพราะทำอะไรก็โดนด่าอย่างเดียว ทั้งที่อาจมีความปรารถนา แต่ความคิดก้าวล้ำไปไกล ไม่เหมาะกับสถานการณ์ในขณะนี้ และประชาชนยังยอมรับไม่ได้ ส่วนตัวผมยังยืนยันไม่เปลี่ยนว่ายังมีความจริงใจที่จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น ไม่ต้องกังวล การเมืองจะพัฒนาไปในรูปแบบที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เราต้องมองบนพื้นฐานของความเป็นจริง ต่างสถานการณ์ ต่างสิ่งแวดล้อม ความคิดก็เปลี่ยนกันไป” นายสนธิ กล่าว นายสนธิ กล่าวด้วยว่า ตนคงไม่ออกมาทำการเมืองบนถนนอีกแล้ว เพราะอายุ 72 แล้ว และหมดยุคการเมืองบนท้องถนนแล้ว แต่จะออกมาในเชิงให้ความรู้มากกว่า จากนี้สามารถติดตามตนได้จากเฟสบุ๊คของตน เพราะตนจะออกมาบอกกล่าวถึงเรื่องต่างๆของบ้านเมืองเป็นระยะๆ และยังไม่วิจารณ์ถึงการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนี้ เพราะเพิ่งเริ่มต้นเอง อย่างไรก็ตาม 3 ปีที่ผ่านมามีแต่ขมขื่น แต่ตนก็ผ่านไปได้ ด้วยหลัก 2 ข้อ 1.ต้องทำใจ เพราะมันก็เป็นของมันแบบนี้ และ 2.เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ต่อจากนี้ก็รักษาสภาพจิตใจ “ตอนนี้เป็นพล.อ.ประยุทธ์แล้ว อย่าไปรังเกียจ รังงอนพล.อ.ประยุทธ์เลย เพราะอย่างที่บอกไป ก็เหมือนกับคนท้องไม่มีพ่อ เด็กเกิดแล้ว รับแล้ว ผมไม่สนใจเลยใครจะเข้าจะออกพรรคไหน ผมไม่สน เพราะการเมืองไทยมันไม่มีจริยธรรมเลย ทุกรัฐบาลก็เหมือนกันหมด มีการต่อยอดอำนาจทั้งสิ้น” นายสนธิ กล่าวทิ้งท้าย