จากกรณีคนร้ายบุกเดี่ยวใช้อาวุธปืนปล้นทองรูปพรรณ ที่ร้านทองแห่งหนึ่ง ในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ย่านบางพลัด เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 5 ก.ย.62 ที่ผ่านมา โดยกวาดทองคำน้ำหนักรวมกว่า 179 บาท มูลค่า 4,060,000 บาท และเงินสดอีก 40,000 บาท จากนั้นได้หลบหนีไป และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถบุกรวบตัวผู้ก่อเหตุได้พร้อมผู้ต้องสงสัยอีก 5 คน ได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านงามวงศ์วาน เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 9 ก.ย.62 ที่ร้านทองออโรร่า สาขาตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น., พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม และ พล.ต.ต.สุคุณ พรหมายน รอง ผบช.น.,พล.ต.ต.บุญญฤทธิ์ รอดมา ผบก.น.7,พ.ต.อ.สุวัฒน์ เกิดแก้ว รอง ผบก.น.7,พ.ต.อ.ปัญญา กุลไทย ผกก.สส.บก.น.7 พ.ต.อ.วีรศักดิ์ กลั่นเกิด ผกก.สน.บางพลัด พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง ได้ควบคุมตัวนายอัศวิน หรือเอก บุญเมือง อายุ 44 ปี ชาว จ.ชุมพร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชันที่ จ.322/2562 ลงวันที่ 6 กันยายน 2562 กระทำผิดฐาน “ชิงทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อหลบหนี” พร้อมของกลางทองรูปพรรณหนักประมาณ 97 บาท,เงินสด 13,000 บาท,อาวุธปืนขนาด 11 มม.พร้อมกระสุนปืน 5 นัด จำนวน 1 กระบอก ,สิ่งเทียมอาวุธปืน 1 กระบอก,รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า คลิก 125 สีแดง-ดำ และเสื้อผ้าที่สวมใส่วันก่อเหตุ หลังจับกุมได้ที่โรงแรมอลิซ ซอยงามวงศ์วาน 18 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี เมื่อคืนวันที่ 8 ก.ย.62 ที่ผ่านมา มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ร้านทองดังกล่าว และจุดต่าง ๆ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ กล่าวเปิดเผยว่า จากการสอบถามนายอัศวิน ยอมรับว่าได้ก่อเหตุจริง ซึ่งได้เดินทางมาดูลาดเลาที่ร้านทองก่อน วันก่อเหตุได้ขับรถจักรยานยนต์พาผู้หญิง 1 คน มานั่งกินอาหารที่ร้านข้าน้อยขอชาบู ภายในที่ห้างดังกล่าวและส่งผู้หญิงกลับไป จากนั้นจึงเข้าไปก่อเหตุปล้นทอง โดยใช้ปืนจี้และถือกระดาษขู่พนักงานให้หยิบทองและเงินสด ก่อนเดินออกไปขึ้นรถรถจักรยานยนต์ขับหลบหนีกลับมาที่บ้านพัก ย่านหัวลำโพง แล้วถอดเสื้อผ้าที่ใช้ก่อเหตุทิ้งไว้หน้าบ้าน และให้ลูกน้องนำรถจักรยานยนต์ไปทิ้งที่ตลาดคลองเตย หลังจากนั้นได้นำทองไปแลกกับยาเสพติด ก่อนจะนัดพบกับพวกที่โรงแรมดังกล่าว พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ กล่าวอีกต่อ คนร้ายอ้างว่ามีแผนจะนำทองที่ปล้นมาได้ไปใช้หนี้สินและแลกกับยาเสพติด โดยจะนำทองบางส่วนไปหลอมเพื่อขายเป็นเงินและนำไปซื้อยาเสพติด แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การ ยังอยู่ระหว่างขยายผลเพิ่มเติมอีกครั้ง เนื่องจากนายอัศวิน มีประวัติคดีค้ายาเสพติดที่ จ.ชุมพร แต่เป็นเพียงผู้ค้ารายย่อย สำหรับการก่อเหตุครั้งนี้ เจ้าตัวรับว่าทำเป็นครั้งแรกและรับว่าลงมือก่อเหตุคนเดียว ไม่ได้ร่วมวางแผนกันกับพวกที่เหลืออีก 5 คน ซึ่งขณะเจ้าหน้าที่เข้าจับบุกเข้ากุมที่โรงแรม พบว่ากลุ่มของผู้ต้องหากำลังปาร์ตี้ยาเสพติดกันอยู่ แต่เมื่อตรวจปัสสาวะนายอัศวิน พบว่าไม่มีสีม่วง จึงไม่ได้แจ้งข้อหายาเสพติด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะสอบปากคำบุคคลอื่นที่ถูกจับกุมอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อแจ้งข้อหาและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป