เป็นข่าวคึกโครมในแวดวงการลงทุนธุรกรรมทางการเงิน ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กับการประกาศปิดตัวของ “บริษัท บิทคอยน์ จำกัด” ผู้การประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ การให้บริการด้านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Asset Wallet) โดยให้เหตุผลว่า “ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาธุรกิจในทางอื่น ๆ แทนการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล” ซึ่งภายหลังจากวันที่ 30 กันยายน 2562 ลูกค้าจะไม่สามารถทำการซื้อขาย, แลกเปลี่ยน (เทรดดิ้ง) ผ่านเว็บไซต์ BX.in.th ได้อีกต่อไป แต่ลูกค้ายังคงทำคำสั่งถอนได้ตามปกติ สร้างความตระหนกให้กับนักลงทุนว่าเงินที่จะลงทุนไปจะสูญหรือไม่!?! ทั้งนี้หากมองย้อนไปในช่วงที่ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เฟื่องฟูสุดๆ เกิดขึ้นในช่วงที่โซเชียลมีเดียชื่อดังระดับโลก “เฟซบุ๊ค” ได้เปิดตัวเหรียญสกุลเงินดิจิทัลของตนที่มีชื่อว่า“ลิบรา” โดยจะเป็นเหรียญดิจิทัลที่มีค่าคงที่ (Stablecoin) และเพื่อให้เหรียญนี้สามารถทำธุรกรรมได้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลก เฟซบุ๊คจึงได้ชักชวนพันธมิตรให้มาร่วมวงช่วยกันสร้างเหรียญลิบรา โดยมีพันธมิตรในขณะนี้แล้วไม่ต่ำกว่า 27 ราย อาทิ Coinbase, Mastercard, Visa, eBay, PayPal, Stripe, Spotify, Uber, Lyft, และ Vodafone ทำให้เหรียญลิบราถูกนำไปสร้างระบบธนาคารรูปแบบใหม่ เริ่มจากระบบการโอนเงิน แทนที่จะเป็นดอลลาร์ ยูโร หรือเยน ซึ่งเสียค่าธรรมเนียมโดยเฉลี่ยประมาณ 2 – 3% ก็เปลี่ยนเป็นการโอนโดยใช้ลิบราแทนเงินเหล่านั้น และคาดว่าจะเสียค่าธรรมเนียมต่ำกว่า 0.1% นอกจากนี้ยังเข้าถึงธุรกรรมการกู้ยืมเงินต่างๆ ที่จะเชื่อมโยงทั้งผู้ให้กู้ และผู้กู้ให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น และสามารถใช้เงินลิบราเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรม ทำให้การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ บิทคอยน์ เป็นที่ยอมรับว่าเป็นสกุลเงินใหม่ที่เกิดขึ้นในโลกนี้! ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ตอนรับการลงทุนบิทคอยน์ โดยทาง“สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์” (ก.ล.ต.) ประกาศอนุญาตให้7 สกุลเงินดิจิทัล ใช้ในการซื้อขาย ประกอบด้วยเงินสกุล Bitcoin, Bitcoin Cash, Ethereum, Ethereum Classic, Litecoin, Ripple และ Stellar โดย ก.ล.ต. ได้ประกาศรายชื่อบริษัทผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 4 บริษัท โดยแบ่งเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวน 3 รายได้แก่ บริษัท บิทคอยน์ จำกัด ( BX) www.bx.in.th บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BITKUB) www.bitkub.com และบริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ( Satang Pro)www.satang.pro นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าและผู้ค้า (Broker/Dealer) 1ราย คือ บริษัทคอยส์ ทีเอช จำกัด (Coins TH) www.coins.co.th แต่ล่าสุด บ.บิทคอยน์ ได้ประกาศยุติการเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ทาง “สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์” (ก.ล.ต.) ตั้งศูนย์แนะนำช่วยเหลือผู้ลงทุนเฉพาะกิจ เพื่อดูแลผู้ลงทุนเกี่ยวกับการถอน การรับ โอนคืน หรือโอนย้ายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยสามารถติดต่อได้ที่ Help Center ของ ก.ล.ต. ได้ที่ 1207 กด 7 หรืออีเมล์ [email protected].th24ชั่วโมง 7 วัน ขณะที่ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” (ดีเอสไอ) ก็ได้แจ้งเตือนประชาชนถึงการลงทุนค้าเงินดิจิทัลได้ตรวจพบกลุ่มมิจฉาชีพจึงได้คิดอุบายในการหลอกลวงทรัพย์สินจากผู้ที่หลงเชื่อ และไม่มีความรู้เพียงพอ โดยมีการจัดทำเว็บไซต์ต่างๆ ขึ้นมา กล่าวอ้างว่าเป็นเว็บไซต์ที่ดำเนินการโดย นิติบุคคลหรือ บุคคลต่างชาติ มีวัตถุประสงค์ในทางการค้าเงินดิจิทัลด้วยวิธี Arbitrage (อาร์บิทราจ) เป็นการทำกำไรจากผลต่างของราคาสินค้าชนิดเดียวกันในสองตลาด โดยกล่าวอ้างว่าใช้ผู้ช่วยในการดำเนินการที่เรียกว่า Artificial Intelligence (AI) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนและพัฒนาให้มีความฉลาด มีความสามารถคิด วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจได้ โดยการประมวลผลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มากไปกว่านั้นยังสามารถดัดแปลงการประมวลผล ประยุกต์ ให้เป็นไปตามสถานการณ์ต่างๆ และถูกกำหนดมาให้ทำการซื้อเหรียญดิจิทัลในตลาดที่มีราคาต่ำ แล้วนำไปขายในตลาดที่มีราคาสูงกว่าเพื่อทำกำไร ซึ่งเรียกว่าการ "เทรด ด้วย AI" และเสนอว่าหากผู้ลงทุนสนใจลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 2 % ต่อวัน จากยอดลงทุน เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงเพราะดำเนินการด้วย AI ซึ่งถูกออกแบบมาให้ทำการเทรดให้ได้กำไรเท่านั้น และในเวลานี้พบการชักชวนให้ลงทุนในลักษณะดังกล่าวนี้อยู่หลายเว็บไซต์ และเข้าข่ายลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่! กลายเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน เพราะแชร์ลูกโซ่ที่เกี่ยวกับเงินดิจิทัลที่ผู้ลงทุนต้อหาซื้อเหรียญดิจิทัลที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศของไทย จากนั้นนำเหรียญดิจิทัลโอนไปยังเว็บไซต์ที่เปิดรับการลงทุน เมื่อจะมีการปันผล เว็บไซต์ดังกล่าวจะปันผลกลับมาเป็นเงินสกุลต่างประเทศ อาทิ เงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถ้าต้องการที่เบิกเงินปันผล ต้องนำเงินสกุลต่างประเทศที่ได้รับ ไปแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญดิจิทัล ด้วยวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย แต่หากไม่ได้รับเงินจากการลงทุน ก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ เพราะเป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร ต้องไปประสานความร่วมมือกับสำนักงานอัยการสูงสุด และหน่วยงานในต่างประเทศ ซึ่งมีวิธีการดำเนินการที่ต้องใช้เวลาพอสมควร บางคดีอาจใช้เวลาหลายปี ถึงจะได้ข้อมูลที่ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ดังนั้น…การตัดสินใจจะลงทุนธุรกรรมการเงินต้องศึกษาให้ดี! ไม่ใช้เห็นคล้อยตามกระแส! ทั้งๆที่ไม่มีความรู้ สุดท้าย...กลายเป็นเหยื่อที่ต้องสูญเสียเงิน ที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้!