คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ยังไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐอเมริกาเหมือนดั่งเช่นครั้งนี้ที่มีบรรดานักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครต 24 คนออกมาช่วยกันร่วมผนึกพลังแสดงเจตนารมณ์และกระทำทุกๆอย่าง เพื่อป้องกันมิให้ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับเลือกในสมัยที่สอง ทั้งนี้ยังมีนักการเมืองรุ่นลายครามท่านหนึ่งที่มากด้วยประสบการณ์ทางด้านแวดวงการเมืองและยังมีวัยวุฒิอาวุโสที่สุดรองลงมาจากวุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส โดยเขามีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าและยังได้ปวารณาตนเองว่า “จะกระทำทุกๆอย่างและทุกๆวิถีทาง เพื่อปกป้องประเทศชาติไม่ยอมให้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปสร้างความปั่นป่วนในทำเนียบขาวสมัยที่สองอีกต่อไป” นักการเมืองผู้นั้นก็คือ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” วัย 76 ปี โจ ไบเดน ได้รับเลือกในตำแหน่งวุฒิสมาชิกเมื่อปี 1972 จากรัฐเดลาแวร์ ซึ่งขณะนั้นนับว่าเขาคือวุฒิสมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุด แถมยังได้รับเลือกติดต่อกันถึงหกสมัยๆละหกปี จนกระทั่งปี 2009 เขาก็ได้รับตำแหน่งรองประธานาธิบดีในยุคสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา!!! ปัจจัยหลักๆที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ตัดสินใจเลือก โจ ไบเดน เข้าไปรับตำแหน่งรองประธานาธิบดี สืบเนื่องมาจากไบเดนมีความสามารถพิเศษในการร่วมมือทำงานเข้าขาเป็นอย่างดีกับนักการเมืองของค่ายพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรส เพราะการที่ประธานาธิบดีคนใดก็ตามสามารถจะสร้างผลงานได้อย่างดีเด่นนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพรสวรรค์ในการทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน และเนื่องจากไบเดนมีความสามารถพิเศษในการเป็นนักประนีประนอมก็ตาม แต่เขาก็มีความเด็ดขาดและเข้มแข็งอยู่ในตัวเช่นกัน นอกเหนือจากนั้นแล้ว โจ ไบเดน ก็ยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านการต่างประเทศเป็นพิเศษอีกด้วย โดยเขาเคยรับตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศ และยังเคยดำรงอยู่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการตุลาการในวุฒิสภาอีกด้วย ในหน้าที่ของการเป็นประธานคณะกรรมาธิการตุลาการนั้น ไบเดนได้ออกมากล่าวสารภาพต่อความผิดพลาดในการที่ครั้งนั้นเขาไม่ได้ออกมาคัดค้านให้ “คลาเรนซ์ โธมัส” ก้าวเข้าไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯ ทั้งๆที่ขณะนั้นโธมัสกำลังถูกกล่าวหาจาก “ทนายความสาวอนิตา ฮิลล์” ในเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นคนผิวสีด้วยกัน!!! จะเห็นได้ว่าเมื่อสามสิบปีก่อนกรณีเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศนั้น มิได้เป็นเรื่องร้ายแรงเหมือนในปัจจุบัน และถึงแม้ว่าคลาเรนซ์ โธมัส จะถูกต่อต้านอย่างหนักก็ตาม แต่เขาก็สามารถผ่านวุฒิสภาไปได้ด้วยเสียง 52 ต่อ 48 จนมีผลทำให้คลาเรนซ์ โธมัส ได้กลายเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่มีพฤติกรรมขวาตกขอบที่สุดในขณะนี้ และถึงแม้ว่ากรณีนี้จะผ่านมาเป็นเวลาอันยาวนานแล้วก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าอนิตา ฮิลล์ ซึ่งขณะนี้เธอดำรงชีวิตด้วยการเป็นศาสตราจารย์กฎหมายที่มหาวิทยาลัยแบรนไดส์ (Brandies University) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ โดยเธอได้ออกมาหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าววิพากษ์วิจารณ์ต่อ อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เขามิได้ทำหน้าดีเท่าที่ควร และโบเดนก็ออกมาก้มหัวยอมรับโดยดุษฎีอีกด้วยเช่นกัน!!! จริงๆแล้วโจ ไบเดน มีความพร้อมในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านฐานะทางสังคม ด้านการเงิน และด้านความมั่นคงของครอบครัว ซึ่งไม่จำเป็นเลยที่เขาจะก้าวเข้ามาในแวดวงการเมืองอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากเขาเล็งเห็นว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นบุคคลอันตรายต่อประเทศชาติ” นั่นจึงเป็นที่มาของการประกาศลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี และยังเป็นที่น่าสังเกตอีกด้วยว่า แม้สมาชิกในพรรครีพับลิกันจะตระหนักดีว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีความเลวร้ายเพียงไรก็ตาม แต่พวกเขาก็หาได้แคร์และหาได้สนใจไม่ กลับทุ่มเทคะแนนให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมองๆไปแล้วเป็นเรื่องที่แสนจะแปลกประหลาดสิ้นดี!!! และยังปรากฏอีกเช่นกันว่าขณะนี้สมาชิกผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกันต่างก็ออกมาทะยอยประกาศไม่ลงสมัครแข่งขันในปีหน้า ซึ่งก็ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคเดโมแครตจะเข้าไปคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯต่อไปได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามหากว่าโจ ไบเดนได้รับเป็นเลือกให้เข้าไปเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ปัญหาจะมีอยู่ที่ว่าเขาจะเลือกใครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี และดูเหมือนว่าผู้ที่จะอยู่ในข่ายตำแหน่งรองประธานาธิบดีของโจไบเดนนั้นอาจจะผู้หญิงก็เป็นไปได้ โดย “วุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วอร์เรน” และ “วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส” ก็อาจจะอยู่ในข่ายเพราะนักการเมืองทั้งสองสาวต่างก็เป็นที่นิยมของบรรดากลุ่มสตรี อีกทั้งเธอทั้งสองยังมีอุดมการณ์ที่ใกล้เคียงกับโจ ไบเดน ที่ต่างก็ไม่ชอบขี้หน้าประธานาธิบดีทรัมป์อย่างค่อนข้างรุนแรง!!! หากลองวิเคราะห์ถึงความคิดเห็นของผู้นำในพรรคเดโมแครตแล้วเสียงส่วนใหญ่ต่างมองเห็นว่า โจ ไบเดน คือผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด และหากว่าสมาชิกของพรรคเดโมแครตนิยมชมชอบสนับสนุนไบเดนและช่วยกันผนึกพลังทำงานกันอย่างเหนียวแน่นโอกาสที่ไบเดนสามารถจะกำชัยชนะย่อมมีความเป็นได้ แต่ปัจจัยหลักๆอยู่ที่ว่า โจ ไบเดน จะสามารถพูดจาหว่านล้อมให้ผู้ที่สนับสนุนวุฒิสมาชิกเบอร์นีย์ แซนเดอร์ส และวุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วอร์เรน ให้หันกลับมาสนับสนุนตนเองได้หรือไม่? ถึงแม้ว่าโจ ไบเดน จะมีจุดแข็งอย่างมากมาย แต่เนื่องจากเขาอยู่ในแวดวงการเมืองมายาวนาน ดังนั้นเขาก็ย่อมจะมีจุดอ่อนกมากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดังเช่น การที่เขาเคยสนับสนุนให้ทำสงครามกับอิรัก ซึ่งนับเป็นจุดบอดที่เขาจะต้องอธิบายหากถูกประธานาธิบดีทรัมป์โจมตี และปีหน้าไบเดนจะมีอายุย่าง 77 ปี ซึ่งอาจจะกลายเป็นจุดอ่อนอีกด้วยเช่นกัน และหากเขาได้รับชัยชนะก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว ขณะนั้นเขาก็จะมีอายุ 78 ปี และจะกลายเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุอาวุโสที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ส่วนเรื่องประวัติด่างพร้อยที่ถือเป็นจุดบอดในการที่เขาลอกผลงานของคนอื่น โดยมิได้ให้เครดิตกาเจ้าของผลงาน ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้นในสมัยที่เขาเรียนกฎหมายปีแรกที่ University of Syracuse และอีกครั้งในสมัยที่ไบเดนเข้าลงแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 1987 ปรากฎว่าครั้งนั้นเขาก็ได้เอาสุนทรพจน์ของนักการเมืองอังกฤษมาใช้ และเมื่อถูกเปิดโปงเป็นผลให้ไบเดนต้องยอมล้มเลิกการแข่งขันไปในที่สุด!!! ทั้งนี้และทั้งนั้นกล่าวโดยสรุปแม้ว่าโจ ไบเดนจะมีประสบการณ์มากมายและกำลังมีคะแนนนำอยู่ก็ตาม แต่แผลเก่าหลายแผลคงจะต้องถูกรื้อฟื้นขึ้นมาและนำเอามาเป็นหัวข้อโจมตีย้ำซ้ำๆแผลเดิม และหากว่าโจ ไบเดน ไม่สามารถแก้ตัวได้อย่างสมเหตุสมผลแผลก็อาจจะติดเชื้อจนเข้าขั้นอันตรายไปไม่ถึงฝั่งที่เขาฝันเอาไว้ละครับ ภาพจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ วันที่ 2 กันยายน 2019