อธิบดีกรมชลฯ เตือน 7 จว. รับน้ำเหนือหลากลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น 50-1เมตร คุมระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาไม่เกิน 900 ลบ.ม.ต่อวินาที ลดผลกระทบท้ายเขื่อน ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย           เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า เนื่องจากพื้นที่ตอนบนของประเทศมีปริมาณฝนที่ตกหนัก และฝนที่ตกสะสมมากขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณน้ำท่าไหลหลากลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยามากขึ้น ล่าสุด เมื่อเวลา 18.00 น. วันนี้ (3 ก.ย.62) มีปริมาณน้ำไหลผ่านที่สถานีวัดน้ำ C.2 อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 1,141 ลบ.ม./วินาที และมีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 601 ลบ.ม./วินาที และมีแนวโน้มที่ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจะเพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงประมาณ 700–900 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบัน ได้แก่ บริเวณตำบลบ้านกระทุ่ม ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา และตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 0.50–1.00 เมตร ปริมาณน้ำดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา กรมชลประทาน จะควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ 700-900 ลบ.ม./วินาที และจะบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มศักยภาพของพื้นที่ โดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตร ทั้งนี้ หากมีปริมาณน้ำเหนือไหลหลากจากทางตอนบนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยามากกว่า 900 ลบ.ม./วินาที กรมชลประทาน จะได้แจ้งให้ทุกฝ่ายทราบในระยะต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำดังกล่าว กรมชลประทาน ได้ประสานกับทางจังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา และ ลพบุรี ทำการประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริษัท ห้างร้าน ที่ประกอบกิจการในแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำน้อยด้านท้ายประตูระบายน้ำผักไห่ ขอให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรับข่าวสารจากทางราชการเท่านั้น หากต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือโทร. 1460 สายด่วนกรมชลประทาน ได้ตลอดเวลา