การวางแผนอนาคต การวางรากฐาน และการเตรียมความพร้อม เพื่อส่งต่อเป็นมรดกให้แก่คนรุ่นหลังเป็นเอกลักษณ์ทางความคิดอย่างหนึ่งของคนไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เป็นภูมิปัญญาของการ “สร้างเพื่อส่งต่อ” จากรุ่นสู่รุ่น ที่ตระหนักอยู่คู่กับคนไทยที่ให้ความสำคัญกับมาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งอดีต ทีเอ็มบี สถาบันการเงินที่ตระหนักและเข้าใจถึงความสำคัญของการวางแผนอนาคตเช่นกัน จึงมุ่นเน้นไปที่การเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้กับลูกค้าทุกระดับ เพื่อนำเสนอทางเลือกแห่งการเสริมสร้างความมั่งคั่งผ่านบริการทางการเงินทุกรูปแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านการเงินในการส่งต่อมรดกแห่งความมั่งคั่งและอนาคตอันราบรื่นให้กับคนรุ่นหลัง จึงเป็นที่มาของการเปิดวังจักรพงษ์เพื่อส่งมอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ ทีเอ็มบี เวลท์ แบงก์กิ้ง ตั้งใจมอบให้กับลูกค้าคนพิเศษ ผู้ซึ่งเห็นความสำคัญของการสร้างรากฐานทางการเงินที่มั่นคง ด้วยดินเนอร์สุดหรูกับอาหารไทยตำรับชาววังรสเลิศ พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในย่านประวัติศาสตร์บนเกาะรัตนโกสินทร์ ณ วังพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรจักรพงษ์ ที่รู้จักกันในนามของ ‘วังจักรพงษ์’ หรือ ที่เรียกกันว่า ‘วังท่าเตียน’ ซึ่งเป็นวังที่อยู่คู่กับคนไทยมานานนับ 100 ปี ที่นับเป็นอีกหนึ่งมรดกสำคัญของประวัติศาสตร์ไทยที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาถึงปัจจุบัน ในการนี้ทีเอ็มบียังได้นำ เรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสร้างมรดกเพื่อส่งต่อของบรรพบุรุษไทยในอดีตมาถ่ายทอดให้ได้เป็นแนวคิดเพื่อทราบถึงความลึกซึ้งทางความคิดของบรรพบุรุษไทยในอดีต ภายใต้หัวข้อ ‘The Heritage of wealth : มรดกแห่งความมั่งคั่ง’ โดยมีอาจารย์จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมและถ่ายทอดเรื่องราวความรู้ทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะวิธีการและแนวทางการออมในด้านต่างๆ อาทิ การออมความรู้ต่างๆ มาถ่ายทอดให้ฟังถึงวิถีของบรรพบุรุษส่งต่อให้คนรุ่นหลัง รวมถึงการออมเงินไว้ให้คนรุ่นหลังใช้ในยามฉุกเฉิน โดยมี คุณยืนยง ทรงศิริเดช หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธนบดีธนกิจ ทีเอ็มบี ให้การดูแลและต้อนรับอย่างเป็นกันเองตลอดทั้งงาน หนึ่งในเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ คือ ‘การออมเงิน’ และ ‘การวางแผนความมั่งคั่งเพื่ออนาคต’ ซึ่งแนวคิดนี้เองที่ช่วยส่งผลดีคุณูปการให้แก่ประเทศไทยเรา หรือสยามในอดีต ต้องยกให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เนื่องด้วยทรงมีพระอัจฉริยภาพทางด้านการค้า จนพระบิดารัชกาลที่ 2 เรียกท่านว่า ‘เจ้าสัว’ อันเนื่องมาจากทรงมีสำเภาค้าขายกับต่างประเทศเป็นการส่วนพระองค์ ทำให้ได้เงินกำไรจากการค้าขายเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งท่านนำเงินกำไรที่พระองค์ได้มาจากสำเภาค้านี้ รวมกับเงินรายได้แผ่นดินส่วนหนึ่ง ใส่ถุงผ้าสีแดง เก็บไว้ข้างพระแท่นบรรทม หรือ ‘เงินพระคลังข้างที่’ อันเป็นที่มาของ ‘เงินถุงแดง’ ที่พระองค์ได้กล่าวกับรัชกาลที่ 4 ไว้ว่าห้ามนำเงินนี้มาใช้หากไม่จำเป็น รวมถึงได้กล่าวสั่งกับข้าราชบริพารไว้ก่อนสวรรคตว่า “ต่อไปนี้การศึกข้างพม่าข้าวญวนจะหมดแล้ว เหลือแต่ฝรั่งให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีกับเขาได้ การงานสิ่งไหนของเขาที่ดีให้เรียนร่ำมาจากเขาไว้ แต่อย่าเลื่อมใสกันทีเดียว” เสมือนเป็นลางบอกเหตุที่ท่านได้เตรียมตัวไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง ซึ่งท้ายที่สุด ‘เงินถุงแดง’ ก็ได้ทำหน้าที่รักษาเอกราชของสยามประเทศไว้ได้จากเหตุการณ์ความขัดแย้ง ร.ศ. 112 ในสมัยรัชกาลที่ 5 จากกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนกับฝรั่งเศส และการเรียกค่าเสียหายจากสยามเป็นเงิน 2 ล้านฟรังซ์ทองคำ โดยต้องชำระภายใน 48 ชั่วโมงเท่านั้น กล่าวได้ว่า ‘เงินถุงแดง’ ซึ่งภายในมิได้บรรจุเงินของสยามธรรมดาที่ชาวสยามในสมัยนั้นใช้ หากแต่เป็นเหรียญทองรูปนกอินทรีย์ซึ่งเป็นสกุลเงินของเม็กซิโกที่อยู่อีกซีกโลก ซึ่งถือได้ว่าเป็นสกุลเงินกลางที่ใช้แลกเปลี่ยนกันในยุคสมัยนั้น นับเป็นมรดกชิ้นสำคัญที่รัชกาลที่ 3 ได้ทรงมีวิสัยทัศน์เรื่องการออม และการวางแผนอนาคต เผื่อเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นกับสยามประเทศในอนาคต ท่านจึงเลือกเก็บเงินต่างสกุลไว้เป็นจำนวนมหาศาล จนในที่สุดรัชกาลที่ 5 ทรงนำมรดกทางการเงินนี้ไปจ่ายให้กับฝรั่งเศสได้ทันเวลา ทำให้สยามประเทศยังคงรักษาผืนแผ่นดินมาได้จวบจนทุกวันนี้ จากเรื่องราวในอดีตที่ทำให้ได้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อความมั่งคั่งดังกล่าวยิ่งชวนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนอนาคตเพื่อส่งมอบให้กับครอบครัวคนรุ่นหลัง ไม่ต่างจากไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันที่มุ่งประกอบสัมมาอาชีพอย่างแข็งขันเพื่อความมั่นคงให้กับตนเอง และเพื่อรองรับกับความกังวลด้านต่างๆ ในอนาคต รวมถึงการเตรียมพร้อมวางรากฐานให้กับลูกหลานในเรื่องการศึกษา ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ส่งผลให้หลายครอบครัวเริ่มมองการณ์ไกล และเริ่มวางแผนการเงินในระยะยาวมากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เองที่ ทีเอ็มบี เล็งเห็นถึงความสำคัญเป็นอย่างมากเป็นอันดับต้นๆ ของการให้บริการทางการเงินเสมอมา ทำให้ ทีเอ็มบี พร้อมที่จะสานต่อและส่งมอบบริการทางการเงินและการลงทุนให้กับลูกค้าคนพิเศษ ที่มีความต้องการที่หลากหลายแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องเป้าหมายของการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ การลงทุน และการเก็บออม ภายใต้แนวคิด “TMB Make the Difference” ด้วยผลิตภัณฑ์และการให้บริการทางการเงินที่แตกต่าง และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกระดับได้อย่างตรงจุด ครอบคลุมทุกความคุ้มค่าในระยะยาว และสอดคล้องกับแนวคิด “Get MORE” เพราะลูกค้าคนพิเศษของทีเอ็มต้องได้มากกว่า เพื่อนำไปสู่การสร้างรากฐานอนาคตอย่างมั่นคง และมั่งคั่ง สืบทอดและส่งต่อให้กับทายาทจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อการก้าวสู่ความสำเร็จในรูปแบบการใช้ชีวิตของตนเอง ทีเอ็มบี มีบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ ด้วยผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงินที่เหมาะกับลูกค้าทุกระดับ ผู้ที่สนใจต่อยอดความมั่งคั่งสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ณ สาขาของ ทีเอ็มบี ทั่วประเทศ “อนาคตอันมั่งคั่งของลูกหลาน เราช่วยส่งต่อรากฐานที่มั่นคงได้”