วันที่ 14 พ.ย.2568 พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุหลังเป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตามแนวคิด “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีสัญญาณโทรศัพท์”ว่า นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงเรื่องคุณภาพชีวิตของกำลังพลในพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา จึงนำมาสู่การผลักดันโครงการ เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะการเข้าถึงพื้นที่ให้สะดวกรวดเร็วมากขึ้นจึงต้องเน้นในเรื่องการปรับปรุงเส้นทางให้สอดคล้องกับการปฏิบัติภารกิจและการส่งกำลังบำรุง
ขณะเดียวกันในยามปกติ ก็สามารถ สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของป่าไม้ในการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า ถือเป็นการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงทั้งในยามปกติและในช่วงที่มีสถานการณ์
ทั้งนี้จะจัดลำดับความเร่งด่วนในพื้นที่ชายแดนกองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดก่อน
โดยยืนยันว่า เป็นการปรับปรุงเส้นทางในพื้นที่อธิปไตยไทย ยึดโยงกับแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ซึ่งทุกตารางนิ้วเป็นของไทย ทั้งนี้จะเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมภายใน 4-5 เดือนนี้ช่วงรัฐบาลนี้
พร้อมย้ำถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ว่า การดำเนินการต่างๆเป็นไปตาม นโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ได้มีการ ระงับปฏิญญาสันติภาพไทย- กัมพูชา หลังเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด โดยระงับไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การยกเลิก และ เชื่อว่า ไม่ใช่การละครตามที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ เพราะข้อตกลงในปฎิญญาสันติภาพเป็นเรื่องระหว่าง 2 ประเทศ และข้อตกลงทั้ง 4 ข้อ ฝ่ายไทยเป็นผู้กำหนดทั้งหมด
ส่วนที่สื่อหลักของประเทศมาเลเซียนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา เป็น ทุ่นระเบิดเก่านั้นอาจจะเป็นเรื่องของความเข้าใจผิด พร้อมเชื่อว่า คณะผู้สังเกตการณ์ หรือ AOT ของทุกประเทศมีความเป็นธรรมและจะพูดแต่ความจริง
ทั้งนี้ยังฝากไปถึงอดีตนายทหาร และนักวิเคราะห์ต่างๆ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ระมัดระวังการให้ข้อมูล ด้านความมั่นคง เพื่อไม่เป็นการกดดันทหารในพื้นที่ให้ทำงานยากขึ้น
โดยขอให้ผู้บังคับหน่วยระดับต่างๆ ได้ทำงานด้วยความพร้อม อย่าไปกดดันเรื่องเงื่อนไขเวลา เพราะสงครามรูปแบบใหม่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสงครามข้อมูลข่าวสารในลักษณะที่กดดันกันเอง หรือฝ่ายตรงข้ามกดดัน
พลโทอดุลย์ ย้ำว่ารัฐบาลแสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา และไม่ได้กดดันทหาร ส่วนทหารก็ทำหน้าที่นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ดังนั้น ขอให้ทหารได้ทำหน้าที่ อย่างดีที่สุด








