ลืมความหลัง ฝังความแค้น คือคาถาสำหรับ “คนการเมือง” ที่ต่างรู้ดีว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่ง ในห้วงสถานการณ์หนึ่ง “บุญแค้น” และ “ความแค้น” ต้องถูกวางเอาไว้ เพื่อ “ไปต่อ” และลดความเสียหายในทางการเมืองให้น้อยที่สุด !
ข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มก๊วนการเมือง เพื่อเตรียมตัวลงสนามเลือกตั้ง ในต้นปีหน้า 2569 เต็มไปด้วยความคึกคัก กันแทบทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ค่ายสีแดง และพรรคภูมิใจไทย ที่กำลัง “เป็นต่อ” เปิดปฏิบัติการ “ดูด” นำร่องล่วงหน้า หลายพรรคไปก่อนหน้านี้
เมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้าการพึ่งพา “กลุ่มการเมือง” ที่เรียกว่า “บ้านใหญ่” ยังคงเป็น หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะพบว่าทั้งค่ายแดงและค่ายสีน้ำเงิน เปิดหน้าชิงตัวบ้านใหญ่กันอุตลุต
การออกมาให้สัมภาษณ์ของ “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะ แกนนำกลุ่ม 18 ถึงกรณี “กลุ่มเมืองชล” บ้านใหญ่การเมือง จ.ชลบุรี เตรียมเข้ามาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย โดยจะมีการ “แบ่งพื้นที่” ให้รับผิดชอบ “คนละครึ่ง” ของชลบุรี ว่า อยู่ที่การพิจารณาของ ผู้ใหญ่ในพรรค ผู้บริหารพรรค
นอกจากนี้ยังตอบคำถามกรณีที่ว่าหากพรรคสีน้ำเงินให้กลุ่มของ สนธยา คุมการเลือกตั้งเมืองชลทั้งหวัด จะรับได้หรือไม่ ว่า ในทางการเมืองคงรู้อยู่แล้วว่าใครถนัดตรงไหน และใครควรจะเหมาะสมดูเขตไหน
“ คุมหรือไม่คุม มันเป็นเรื่องอุปโลกน์กันมากกว่า จริงๆ แล้วมันมองที่ผลลัพธ์และเสียงตอบรับของประชาชนว่าใครที่มีพื้นที่ฐานเสียงตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นมากกว่า
ถ้าเราทำงานโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ประชาชน ประเทศชาติบ้านเมือง มันก็เป็นทางเดียวกันหมด อย่างตนอยู่ อ.เมืองชลบุรี จะให้ตนไปดู อ.บางละมุง สัตหีบ ตนก็ไปไม่ได้ เพราะไม่รู้จักประชาชนแถวนั้นมาก ไม่ได้เกิดที่นั่น” (14 พ.ย.68)
การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในพรรคภูมิใจไทย เมื่อสองขั้วการเมือง จ.ชลบุรี ที่เคยยืนประจันหน้ากัน ระหว่างกลุ่มของสุชาติ ที่ก้าวขึ้นมาเป็น กลุ่มเมืองชลใหม่ กลุ่มพลังใหม่ แต่ความสัมพันธ์ที่ “เคยดี” กับกลุ่มบ้านใหญ่ ของสนธยา คุณปลื้ม นั้นไม่ค่อยดีนัก ความขัดแย้งระหว่างบ้านใหญ่คุณปลื้ม กับกลุ่มสุชาติ ทำเอาเมืองชลเดือดทะลุปรอทมาแล้ว !
โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 14 พ.ค.2566 สุชาติ อยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ส่วนสนธยา นำทีมเข้าพรรคเพื่อไทย สวมเสื้อค่ายสีแดงลงสนาม ต่างพบว่าบรรยากาศที่เมืองชลนั้นคุกรุ่นพอสมควร
เมื่อกลุ่มของสุชาติ กับกลุ่มสนธยา แข่งกันเอง ปรากฎว่า พรรคก้าวไกล กลับส่งผู้สมัครหน้าใหม่ ลงไปกวาดที่นั่งสส. มาได้มากที่สุดถึง 7 ที่นั่ง จากทั้งหมด มี10 เขตเลือกตั้ง สส. ส่วนพรรคเพื่อไทย ได้ไป 1 ที่นั่ง พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 ที่นั่ง และพรรคพลังประชารัฐ 1 ที่นั่ง ในตอนนั้น สุชาติ ในฐานะแม่ทัพของพรรค รับผิดชอบ 10 เขตเลือกตั้งเมืองชล ออกมายอมรับความพ่ายแพ้ ด้วยสปิริต
เท่ากับว่าศึกเลือกตั้งปี 2566 ทั้งเพื่อไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีสุชาติ เป็นแม่ทัพใหญ่ ต่างเสียที่นั่งให้กับพรรคส้ม ด้วยกันทั้งคู่ ว่ากันว่าผู้สมัครพรรคก้าวไกล “ขี่กระแสพิธา” ที่มาแรงจนเข้าวิน และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะบ้านใหญ่ของสนธยาและบ้านใหม่ ของสุชาติ ชิงคะแนนกันเอง จนฐานเสียงแตก
อย่างไรก็ดี กระแสข่าวว่าสนธยา จะนำกลุ่มเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย นั้นมีมาโดยตลอด และยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้น หาก “เนวิน ชิดชอบ” เจ้าของพรรคสีน้ำเงินตัวจริง “ไฟเขียว” ให้กลุ่มสนธยา กับกลุ่มสุชาติ แบ่งพื้นที่กันคุมเขตเลือกตั้ง โดยไม่มีการ “ทับไลน์” จนเกิดเป็นความขัดแย้งขึ้นมารอบใหม่
หมายความว่า พรรคภูมิใจไทย จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งในพื้นที่ชลบุรี ทั้ง 10 เขต เพื่อสู้กับ “กระแสพรรคส้ม” ที่ลดลงเมื่อวันนี้ไม่มี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ได้ไม่ยาก !








