วันที่ 12 พ.ย. 68 เมื่อเวลา 17.10 น. ภายหลังเดินทางกลับจากตรวจสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยาร่วมกับนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมเตรียมการรับมือสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ห้องประชุมดำรงธรรม ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย โดย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี จันทบุรี ตราด และสระแก้ว รวมถึงหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี ร่วมประชุมผ่านระบบ Video Conference
นายอรรษิษฐ์ เผยว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 10 พ.ย. 68 เกิดเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทาง เป็นเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 2 นาย รายแรกอาการข้อเท้าขวาขาด และรายที่สองมีอาการแน่นหน้าอกจากแรงอัด ส่งผลให้มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ 7 ราย โดยจากการตรวจสอบของกองทัพพบว่า ทางกัมพูชาพยายามกระทำการละเมิดข้อตกลงสันติภาพ โดยยิงยั่วยุมายังประเทศไทย ส่งผลทำให้ทหารทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน และสถานการณ์ชายแดนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
“นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีบัญชาให้เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวานนี้ (11 พ.ย. 68) ในช่วงเช้าก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งการประชุมเป็นไปอย่างยาวนาน จนทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรีล่าช้า โดยในที่ประชุมได้มีการหารือและประเมินสถานการณ์การปฏิบัติต่อถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยที่ประชุมมีมติให้ระงับปฏิญญาสันติภาพชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยเหตุจากการละเมิดข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศไทยพยายามทำตามปฏิญญาตลอด แต่ก็ถูกละเมิดจากกัมพูชา และจากการพิสูจน์ทราบได้รับการยืนยันว่า ทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบไม่ใช่ระเบิดเก่า”
นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ให้คณะรัฐมนตรี กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระงับการดำเนินการตามปฏิญญาสันติภาพที่ได้ลงนามอย่างไม่มีกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กระทรวงมหาดไทย” ให้มีการเตรียมความพร้อมพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย จึงเป็นที่มาของการจัดประชุมเตรียมการรับมือฯ ในวันนี้
“คนมหาดไทยซึ่งเป็นผู้ที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชนเป็นหลักเพื่อให้พี่น้องทหารหาญที่ทำหน้าที่อยู่แนวหน้าบริเวณชายแดนจะได้ดูแลพื้นที่อธิปไตยไทยอย่างเต็มกำลัง จึงขอให้ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ทั้งส่วนกลาง และจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาทั้ง 7 จังหวัด ได้เตรียมแผนเผชิญเหตุ ตามที่เคยซักซ้อมและปฏิบัติในห้วงที่ผ่านมา ด้วยการทบทวนบทเรียน
พร้อมทั้งวางแผนเกี่ยวกับการบริหารจัดการในครั้งนี้ว่ายังมีส่วนใดขาดตกบกพร่องหรือยังมีส่วนใดที่จะต้องแก้ไขจากการปฏิบัติในครั้งนี้ที่ผ่านหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลความปลอดภัยพี่น้องประชาชน การประเมินสถานการณ์ จำนวนประชากรในพื้นที่เสี่ยง เพื่อหากเกิดเหตุการณ์ที่จำเป็น “ต้องพร้อมทำได้ทันที” ทั้งสถานที่อพยพ ยวดยานพาหนะที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายประชาชน รวมถึงกำลังพลอาสาสมัครทั้ง อส. และ ชรบ. ที่จะต้องดูแลความปลอดภัยตลอดจนทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน เพราะในห้วงที่ผ่านมา ยังมีประชาชนบางส่วนที่อพยพไม่ทันส่งผลให้ได้รับผลกระทบ”
นายอรรษิษฐ์ ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้นย้ำว่า “ให้นายอำเภอที่อยู่ใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนได้เน้นย้ำปลัดอำเภอประจำตำบล และประสานกับฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ว่า หากเกิดเหตุการณ์ เราต้องพยายามอพยพเคลื่อนย้ายพี่น้องประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด” โดยพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ก็จะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ไม่แออัด และต้องมีความสะอาด ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน หรือใกล้เคียงกับการอยู่บ้านให้มากที่สุด ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้ลำบาก มีอาหารการกินที่ดี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดนายอำเภอ ต้องช่วยกันดูแลในส่วนนี้ รวมทั้งเตรียมด้านสาธารณสุข การดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ทุพพลภาพ โดยประสานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดและสาธารณสุขจังหวัดบูรณาการภารกิจ
ประการต่อมา การจัดเตรียมความพร้อมด้านมนุษยธรรม ด้วยการตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาลสนาม ที่ต้องมีแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ประจำศูนย์ที่สามารถช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับบาดเจ็บได้ทันที รวมถึงต้องตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของบังเกอร์หรือหลุมหลบภัยให้มีความสมบูรณ์ อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่เข้าไปแล้วมีน้ำเจิ่งนองหรือมีของอะไรวางเกะกะอยู่ และจะตรวจสอบความพร้อมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมา กรมการปกครองได้สนับสนุนงบประมาณปรับปรุงให้กับจังหวัดต่าง ๆ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงยุทโธปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัยจากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตที่รับผิดชอบและเขตใกล้เคียง
นอกจากนี้ ให้สั่งการกำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นบุคลากรที่อยู่ใกล้ชิดกับฝ่ายปกครอง ดำเนินการตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังอย่างเต็มกำลังความสามารถ บูรณาการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีผลัดเวรดูแลด้านต่าง ๆ และแวะเวียนไปสร้างความรับรู้เข้าใจ ความตระหนักรู้ และความอบอุ่นใกล้ชิดให้กับพี่น้องประชาชน และที่สำคัญ ต้องมีเวรเฝ้าระวังความปลอดภัยทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในหมู่บ้าน เพราะในยามคับขันมักจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีฉวยโอกาสแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมเป็นขโมยขโจรซ้ำเติมพี่น้องประชาชน เราต้องพึงระลึกเสมอว่า โลกชอบเล่นตลกและเหตุการณ์มักจะมาตอนเราไม่ได้เตรียมตัว
นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ตลอดจนฝ่ายปกครองทุกส่วน ต้องให้ความสำคัญกับ “ระบบเตือนภัย” การเตือนภัยต้องรวดเร็ว ทั้ง Cell Broadcast หอกระจายข่าว ต้องสแตนบายพร้อมปฏิบัติงานทันที ธำรงระบบการสื่อสารในพื้นที่ให้พร้อมตลอดเวลา โดยใช้ระบบ Radio Trunk เป็นระบบการสื่อสารหลักในช่วงเวลาเกิดภาวะที่อาจส่งผลให้การติดต่อสื่อสารช่องทางอื่นได้รับผลกระทบ และติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหากต้องการขอรับการสนับสนุนจากส่วนกลางขอให้ได้แจ้งมายังกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานการประสานการปฏิบัติงานพื้นที่ชายแดนของกระทรวงมหาดไทยในมิติพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง
จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ได้รายงานถึงความพร้อมในการปฏิบัติการตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ทั้งด้านความพร้อมของหลุมหลบภัย แผนเผชิญเหตุ ศูนย์อพยพชั่วคราว อาหาร ยารักษาโรค ซึ่งขณะนี้ทุกจังหวัดมีความพร้อมบริหารจัดการสถานการณ์ 100%








