กลุ่มภาคประชาชนยื่นฟ้องศาลปกครองเชียงใหม่ เพื่อขอให้ ชะลอโครงการเขื่อนปากแบง ใน สปป.ลาว และให้ ยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระยะเวลา 29 ปี โดยชี้ว่าโครงการขาดการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนที่รอบด้าน และจะซ้ำเติมปัญหาแม่น้ำโขงกลายเป็น "อ่างตะกอนพิษ" จากการปนเปื้อนสารโลหะหนัก
วันที่ 12 พ.ย. 2568 กลุ่มรักษ์เชียงของ ประชาชน และนักวิชาการ ได้ยื่นคำฟ้องกว่า 63 หน้า ต่อศาลปกครองเชียงใหม่ โดยมีผู้ถูกฟ้องคดี 4 ราย ได้แก่ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ กฟผ.
โดย น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขององค์กร International Rivers (มูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ) เปิดเผยว่า ลุ่มน้ำกก สาย และรวก ใน จ.เชียงราย กำลังเผชิญปัญหามลพิษข้ามพรมแดนอย่างรุนแรง จากการปนเปื้อนสารโลหะหนัก ได้แก่ สารหนู (As) และ ตะกั่ว (Pb) ในน้ำและตะกอน ที่มีต้นตอจากกิจการเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งสารพิษไหลลงสู่แม่น้ำโขง หากมีการก่อสร้าง เขื่อนปากแบง จะทำให้สารพิษเหล่านี้ถูกกักและตกตะกอนในอ่างเก็บน้ำหลังเขื่อน ทำให้แม่น้ำโขงกลายเป็น อ่างตะกอนพิษ ซึ่งเป็น "ข้อเท็จจริงใหม่" ที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ละเลยที่จะนำมาพิจารณาและทบทวนมติหรือสัญญา
นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว แกนนำกลุ่มรักษ์เชียงของ เน้นย้ำว่า หากสร้างเขื่อนต่อไปจะเกิดผลกระทบใหญ่หลวงมาก เพราะจะเป็น อ่างน้ำพิษ ตลอดสายแม่น้ำโขงได้ เนื่องจากยังไม่มีแนวทางการแก้ไขปัญหาสารพิษในแม่น้ำที่ชัดเจน "เหมืองรอสร้างได้ ชีวิตมนุษย์รอสร้างไม่ได้ จึงต้องชะลอเขื่อนก่อน" กลุ่มผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการที่โครงการเขื่อนปากแบงเดินหน้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. โดย ปราศจากการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary Impact Assessment) และ ผลกระทบเชิงสะสม (Cumulative Impact Assessment) อย่างรอบด้านนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมที่รัฐไทยผูกพัน
น.ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความของมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ชี้ว่า แม้ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายไทยกับเขื่อนที่อยู่นอกราชอาณาจักรได้โดยตรง แต่ กฟผ. มีอำนาจตาม "เงื่อนไขบังคับก่อน" ในสัญญาซื้อขายไฟ ที่กำหนดให้เจ้าของโครงการต้องจัดทำรายงานผลกระทบข้ามพรมแดนให้เสร็จภายในหนึ่งปี ซึ่งหากไม่ดำเนินการ กฟผ. มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาได้ จุดนี้ กฟผ. จะสามารถเข้ามาปกป้องพี่น้องเชียงราย โดยใช้เงื่อนไขนี้มายกเลิกสัญญา" และเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนความจำเป็นในการสร้างเขื่อนปากแบง โดยเฉพาะหลังเกิดสถานการณ์มลพิษขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อเรียกร้องหลัก 5 ข้อ ต่อศาลปกครองผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลพิจารณาพิพากษา คือ 1.ให้ กฟผ. และ กพช. ยกเลิกหรือเพิกถอนสัญญาซื้อไฟฟ้า จากโครงการเขื่อนปากแบง 2.ให้ เพิกถอนมติ การประชุม กพช. วันที่ 5 พฤษภาคม 2565 เพื่อยกเลิกโครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเขื่อนปากแบง 3.ให้ ยกเลิกการจัดการรับฟังความคิดเห็น โครงการเขื่อนปากแบงเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 4.ให้ออก มาตรการ กำกับภาคเอกชนในการทำโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดนโดยเร่งด่วน 5.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ปฏิบัติหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชน และดำเนินการ แก้ไขฟื้นฟูเยียวยา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำโขง จ.เชียงราย ให้กลับคืนสภาพที่ปราศจากมลพิษ
การยื่นฟ้องครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ภาคประชาชนต้องการให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันกลับมาทบทวนการตัดสินใจในโครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบข้ามพรมแดน โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เป็นอันดับแรก








