เปิดฉากทัศน์ใหม่ยกร่างรัฐธรรมนูญ! กมธ.แก้รธน. โหวตเสียงข้างมาก 22 ต่อ 8 ล้มเลือกตั้ง ส.ส.ร. องค์กรที่มาจากประชาชนทิ้ง! สกัดเสี่ยงโดนศาลรัฐธรรมนูญตีตกอีกครั้ง แลกเปลี่ยนให้ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน และคณะกรรมการรับฟังความเห็นฯ 35 คน ต้องมาจากการคัดเลือกของ “รัฐสภา” แทน เปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองครอบงำได้หรือไม่ ด้าน “โฆษก กมธ.” ย้ำออกแบบกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน "ให้มากที่สุด" เพื่อชดเชยการไม่มีคูหาเลือกตั้ง
วันที่ 12 พ.ย.2568 เวลา 12.50 ที่รัฐสภา นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว. ฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา แถลงผลการประชุมกมธ. ซึ่งมีข้อยุติต่อประเด็นการกำหนดให้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรมนูญ เป็นองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียงองค์กรเดียว ว่า ที่ประชุมได้ลงมติในหลักการที่ได้ข้อยุติแล้ว คือให้มี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน และ ให้มี กรรมการรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน จำนวน 35 คน แทนสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้การพิจารณาถือว่าผ่านในหลักการสำคัญแล้ว ประเด็นต่อไปจะหารือในรายละเอียดที่มาของกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมการรับฟังความคิดเห็น อย่างไรก็ดี กมธ.ได้หารือถึงฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นต่างๆ จึงต้องพูดคุยเพื่อให้มีข้อสรุปที่รอบคอบมากยิ่งขึ้น
เมื่อถามว่าหลักการที่จะทำให้เกิดการยึดและเชื่อมโยงกับประชาชน นายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า ความเห็นกมธ.ทุกคนเห็นด้วยกับการมีการเลือกตั้งโดยประชาชน แต่ที่ต้องโหวตแก้ไขในประเด็นสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเกรงว่าจะขัดกับคำวินิจฉัยหรือความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้การผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องล่าช้า
“ถ้ากระบวนการเริ่มต้นของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่สามารถทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการต้นน้ำได้ เช่น การเลือก ส.ส.ร. สามารถมุ่งเน้นกระบวนการกลางน้ำ หรือการมีส่วนร่วม รับฟังความเห็นของประชาชนได้ ซึ่ง กมธ.ได้คุยในหลักการว่าจะออกแบบกระบวนการดังกล่าวให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และมีความหมายมากให้ที่สุด เพื่อชดเชยการไม่มีคูหาเลือกตั้งได้” นายนรเศรษฐ์ กล่าว
นายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า ในขั้นตอนต่อไป กมธ.จะหารือในรายละเอียดเพื่อกำหนดที่มาของ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และ กรรมการรับฟังความคิดเห็น การวางบทบาท รวมถึงคุณสมบัติ ดังนั้นคนที่จะสมัครเข้ามาจะแตกต่างตามบทบาทหน้าที่ ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบ ซึ่งในกระบวนการคัดเลือกต้องให้รัฐสภาเป็นผู้เลือก
เมื่อถามว่า จะมีการกำหนดกลไกเพื่อไม่ให้ฝ่ายการเมืองใช้อิทธิพล หรือ เข้ามาครอบงำการเลือกกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และ กรรมการรับฟังความเห็นอย่างไร นายนรเศรษฐ์ กล่าวว่า มาตราที่จะพิจารณาต่อจากนี้ คือ กระบวนการที่ป้องกันที่จะเกิดความเสี่ยงที่ทำให้เสียงข้างมากของรัฐสภาลากไป ซึ่งเป็นกระบวนการที่ป้องกันการครอบงำของฝ่ายการเมือง
ด้านน.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน ฐานะโฆษก กมธ. กล่าวว่า เหตุผลที่ที่ประชุมโหวตเสียงข้างมากให้เปลี่ยนแปลงจากสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรรมนูญ ไปเป็น คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เพราะข้อเสนอดังกล่าว กมธ.ไม่เห็นด้วย เพราะมีที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น กมธ.ต้องพิจารณาทางเลือกอื่น ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอ ซึ่ง นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย เสนอ อย่างไรก็ดีคณะกรรมการรับฟังความเห็นฯ ที่ให้มี 35 คนนั้น จะมีที่มาจากการเลือกของรัฐสภา
เมื่อถามว่ากมธ.กังวลใจหรือไม่ ว่าข้อสรุปของกมธ. จะเกิดการถกเถียงในชั้นของรัฐสภา เพราะส.ส.ร. ถือเป็นองค์กรที่ได้รับการเชื่อถือจากการร่างรัฐธรรมนูญมาก่อน น.ส.พนิดา กล่าวว่า กมธ.มีเหตุผลที่จะสนับสนุนและตอบคำถามของสมาชิกรัฐสภาได้ อย่างไรก็ในการพิจารณาของกมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญจะหาทางเพื่อป้องกันการผูกขาดโดยเสียงข้างมากของรัฐสภา
ขณะที่นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ฐานะโฆษกกมธ. กล่าวว่า สำหรับการพิจารรณาของกมธ. กำหนดว่าภายในวันที่ 14 พ.ย. นี้จะทำเนื้อหาให้เสร็จสิ้น จากนั้น วันที่ 18-19 พ.ย. จะเชิญผู้เสนอคำแปรญัตติให้เข้าชี้แจง และเมื่อทำเสร็จแล้วจะกำหนดวันประชุมร่วมกันของรัฐสภา เบื้องต้นจะเปิดประชุมสมัยวิสามัญ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับผลการลงมติเพื่อตัดสิน ว่าจะเลือกแนวทางใด ระหว่าง กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ เพียงองค์กรเดียว หรือ ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ และกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ พบว่า มติข้างมาก 22 ต่อ 8 เห็นด้วยให้มีเฉพาะกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเสียงข้างมากนั้นได้รับการสนับสนุนจาก กมธ.ฝั่งพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และ สว.ส่วนใหญ่ ขณะที่เสียงข้างน้อย นั้น เป็นกมธ.ของพรรคเพื่อไทย และแนวร่วมจากนพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว.
ส่วนประเด็นการตัดสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญออกไป และเปลี่ยนให้เป็น คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้น มติออกมาคือ 22 ต่อ 9 เสียง







