ผู้การวิศรุฒน์
ประชาชน ทั่วไป อาจไม่ได้สังเกตุ ถึงความผิดปกติ บางประการ ใน Action Plan และ ขั้นตอนการถอนอาวุธหนัก ออกจากพื้นที่ความขัดแย้ง ของ ไทย และกัมพูชา
แต่ในแวดวงสื่อมวลชน ได้รับรู้ถึงความผิดปกตินี้ ตั้งแต่ วันที่ 26 ต.ค.2568 ที่ผ่านมา หลัง นายกฯไทย-นายกฯกัมพูชา ลงนามในข้อตกลงสันติภาพ ที่มี ประธานาธิบดี สหรัฐฯ และประธานอาเซียน เป็นสักขีพยาน ในเวที อาเซียนซัมมิท ที่ มาเลเซีย
โดยคืนนั้น ฝ่ายกัมพูชา ก็เปิดภาพ การถอนรถถัง ออกจากชายแดน พระวิหาร แถมนัดนักข่าว และ คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน AOT มา ตีปี๊บ ออกข่าว เพื่อสร้างภาพให้เห็นว่ากัมพูชา ทำตามข้อตกลง สันติภาพ ทันที
ขณะที่ ฝ่ายไทย กองทัพภาคที่ 2 เงียบกริ๊บ ไม่มีการเปิดเผยภาพ การถอนอาวุธ มาออกสื่อ แม้สื่อจะมีการประสานติดต่อไป ก็ตาม แต่ ทบ.แจ้งว่า มีนโยบาย ที่จะไม่เปิดเผยภาพ
จนในที่สุด 28 ต.ค. ทีมโฆษกกองทัพไทย เป็นฝ่ายเปิดเผยทั้งข่าวและภาพ การขนย้ายรถถัง M60A3. จำนวน 2 คัน จากชายแดน กลับหน่วยที่สระบุรี
แม้จะทำให้เกิดความขัดแย้งกันบ้าง แต่ ทาง ทบ. ก็ประสานขอให้ กองบัญชาการกองทัพไทยปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน คือไม่เปิดเผย ภาพการถอนอาวุธ
แต่สำหรับครั้งนี้ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ว่ากองทัพบกไทยก็มีการถอน อาวุธ หนักเช่นกัน
ไม่แค่นั้น ไม่ใช่แค่ภาพการถอนอาวุธหนักที่กองทัพภาค2 และกองทัพบกไม่ได้เปิดเผย ต่อสื่อไทย เท่านั้น แต่ภาพการประชุมคณะกรรมการชายแดนไทยกัมพูชาระดับภูมิภาค RBC ลงนามข้อตกลง การถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอำนาจการทำลายล้างสูง ของ ภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา และกองทัพภาคที่ 2 ไทย วันที่ 31 ต.ค. 68 ที่ โอร์เสม็ด สำโรง จังหวัดอุดรมีชัย กัมพูชา ชายแดนช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ของไทย โดยมี พลโท โปว เฮง ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 4 แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และ พล.ท. วีระยุทธ รักษ์ศิลป์ ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 2 แห่งราชอาณาจักรไทย ภายใต้การสังเกตการณ์ของคณะ AOT นี้ กองทัพภาค 2 ก็ไม่มีการเปิดเผย มีแค่เอกสารแถลงการณ์ร่วมเท่านั้น
แต่แม้ กองทัพภาค 2 ไม่เปิดเผยภาพ แม่ทัพภาค 2 ลงนามกับเขมร เรื่องแผน ถอนอาวุธ กับเขมร แต่ ฝ่ายเขมรเปิดทุกภาพ รวมทั้ง พลเอก ฮุนมาเนต ก็โพสต์เปิดเอง
ทั้งนี้คาดว่า ฝ่ายกัมพูชา ต้องโชว์ว่า ได้ทำตามข้อตกลง เนื่องจากรู้ว่ากำลังถูกจับจ้อง
ในขณะที่จะสังเกตได้ว่าฝ่ายทหารไทยหน้าตาจะไม่ยิ้มแย้มแต่จะวางมาดนิ่งขณะที่ฝ่ายกัมพูชายิ้มแย้มแจ่มใส ประหนึ่งว่าดีใจในความสำเร็จ ที่ร่วมมือกับมหาอำนาจกดดันให้ไทยยอมหยุดยิง ทั้งๆ ที่ ประชาชนและกองทัพยังไม่ต้องการหยุดยิง แต่ต้องการจะสู้รบอีกครั้งเพื่อนำปราสาทตาควายและดินแดนไทยที่เขมรยึดไปกลับคืนมาเสียก่อน
ทั้งนี้มีรายงานว่า กองทัพบกได้กำหนด 3 กฎเหล็ก ในเรื่องการถอนอาวุธหนักออกจากชายแดน
เนื่องด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง และความลับทางทหาร
1. เนื่องจากการถอนอาวุธออกจากพื้นที่ชายแดน ฝ่ายกัมพูชายังคงนำเข้าไปประจำการในหน่วยที่อยู่ใกล้ชายแดน แตกต่างจากฝ่ายไทย ที่นำรถถังเคลื่อนย้ายจากชายแดนไทยกัมพูชากลับหน่วยที่ตั้งที่สระบุรี ซึ่งถือว่าเป็นระยะทางที่ไกลมาก หลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งถือว่าเสียเปรียบ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้ฝ่ายกัมพูชารู้ในรายละเอียด
2.ผู้สังเกตการณ์อาเซียน ที่เข้ามาสังเกตุการณ์นั้น มีหลายประเทศที่ยังคงมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหากับประเทศไทยในอนาคตจากปัญหาเรื่องข้อพิพาทเขตแดนและเรื่องต่างๆ หลายประเทศ ทางกองทัพบกจึงเป็นห่วงว่าจะรู้ความลับทางทหารเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ของ ของไทย
ดังนั้นจึงมีข้อกำหนดให้คณะผู้สังเกตการณ์ถ่ายภาพได้เพื่อประกอบการรายงานแต่ขอความร่วมมือให้เบลอภาพ ไม่ให้ชัดเจนมากนัก รวมถึงขอความร่วมมือไม่ให้เข้าไปถ่ายในห้องควบคุมหรือภายในอาวุธยุทโธปกรณ์เพราะจะทำให้เห็นระบบต่างๆซึ่งมีหลายระบบที่เป็นความลับทางทหารและถือเป็นเขี้ยวเล็บที่ไม่ควรเปิดเผยให้ชาติได้รู้
แม้ว่าในภาพรวมแล้วประเทศเพื่อนบ้านหรือชาติในอาเซียนและประเทศต่างๆจะรู้ว่ากองทัพไทยมีอาวุธยุทโธปกรณ์ใดบ้างก็ตาม แต่ก็ไม่รู้ในรายละเอียดว่าแต่ละรุ่นได้เสริมเพิ่มเติมระบบอัพเกรดอะไรบ้างดังนั้นจึงเป็นข้อมูลความลับที่ไม่ควรถูกเปิดเผย
3. กองทัพบกขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ที่หากเห็นการเคลื่อนย้ายกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายไทยกับหน่วยที่ตั้ง ขอความร่วมมือที่จะไม่เผยแพร่ภาพต่างๆเหล่านี้ เพราะไม่เป็นผลดีต่อการรักษาความมั่นคงด้านการทหาร โดยเห็นว่าประชาชนคนไทยให้ความร่วมมืออย่างดีในห้วงที่ผ่านมาช่วงที่มีการเคลื่อนย้ายกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่ชายแดนเพื่อไปทำการสู้รบกับกัมพูชา
แม้การปฎิบัติเช่นนี้อาจจะทำให้กองทัพบกถูก วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องความไม่โปร่งใสในการถอนอาวุธบ้างก็ตามแต่เมื่อช่างน้ำหนักแล้วกองทัพบกเห็นว่าควรจะเก็บความลับของอาวุธยุทโธปกรณ์ สำคัญกว่าเพราะถึงอย่างไรประเทศต่างๆในโลกก็รู้อยู่แล้วว่ากองทัพไทยต้อง ถอนอาวุธหนักและทำตามข้อตกลงทั้งหมด
โดยข้อกำหนดต่างๆเหล่านี้ "บิ๊กปู" พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เห็นชอบและออกเป็นคำสั่งภายในในการปฏิบัติไว้ เรียบร้อยแล้ว
#กองทัพบก #ถอนอาวุธชายแดน #ไทยกัมพูชา #ข้อตกลงสันติภาพ #ความมั่นคง #อาเซียน #ข่าวการเมือง #วิเคราะห์การเมือง #ASEANSummit #ThaiArmy








