วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2568 เวลา 08.57 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ประจำปีการศึกษา 2567 (เป็นวันแรก) ในปี้มีบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และจากกาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง สถาบันสมทบ สำเร็จการศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 5,424 คน ขึ้นทะเบียนเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร จำนวน 4,642 คน
โดยในปีนี้ สภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์มอบปริญญากิตติมศักดิ์ ประจำปีการศึกษา 2567 แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ได้แก่
1.ดร.สุรเดช บัวทรัพย์ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (วิศวกรรมอุตสาหการ)
2.Prof. Dr. paed. Habil. Hanno Hortsch ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (บริหารอาชีวะและเทคนิคศึกษา)
วันนี้มีบัณฑิตเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร จำนวน 2,302 คน แบ่งเป็น ดุษฎีบัณฑิต 122 คน มหาบัณฑิต 468 คน บัณฑิต 1,712 คน ได้แก่ บัณฑิตวิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย วิศวกรรมศาสตร์นานาชาติ สิรินธร ไทย-เยอรมัน วิทยาลัยนานาชาติ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี คณะวิทยาศาสตร์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม อุทยานเทคโนโลยี มจพ. คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะเทคโนโลยีและการจัดการอุตสาหกรรม คณะบริหารธุรกิจและอุตสาหกรรมบริการ คณะอุตสาหกรรมเกษตรดิจิทัล โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัย พร้อมด้วยศาสตราจารย์ ดร.ธานินทร์ ศิลป์จารุ อธิการบดี คณะผู้บริหาร บุคลากร และนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เฝ้าฯ รับเสด็จ
โอกาสนี้พระราชทานพระราโชวาทแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ใจความสำคัญว่า “ การที่บัณฑิตได้อุตสาหะพยายามเล่าเรียนจนสำเร็จการศึกษา ก็ด้วยทุกคนต่างมุ่งหวังที่จะมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและกิจการงาน พูดถึงความเจริญก้าวหน้า คนโดยมากมักนึกถึงความก้าวหน้ารุ่งเรืองในการสร้างตัวสร้างฐานะ เช่น มีการงาน ที่มั่นคง มีเกียรติยศชื่อเสียง หรือมีทรัพย์มาก แต่ยังมีความเจริญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือความเจริญทางจิตใจ ความเจริญดังกล่าวนี้ หมายถึงความมีจิตใจสูง กล่าวคือ มีความตระหนักรู้ผิดชอบ ชั่วดีและสมบูรณ์พร้อมด้วยคุณธรรม ผู้มีความเจริญทางจิตใจ นับว่ามีปัจจัยสำคัญยิ่ง ในการสร้างสรรค์ความสำเร็จและความเจริญที่แท้ในชีวิตและกิจการงาน ตลอดจนความรุ่งเรืองก้าวหน้าของสังคมและชาติบ้านเมือง เพราะความประพฤติปฏิบัติทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดีที่ถูกต้องเสมอ ทำให้ชีวิตและกิจการงานไม่ดำเนินไปในทางชั่วทางเสื่อม อันจะนำมาซึ่งความผาสุกมั่นคง ทั้งของตนเองและประเทศชาติ จึงขอให้บัณฑิตทั้งหลายพิจารณาให้เข้าใจ แล้วพยายามฝึกฝน อบรมจิตใจให้ยิ่งดีขึ้นเจริญขึ้น จะได้สามารถประพฤติตนปฏิบัติงาน ให้บรรลุความเจริญที่แท้จริงและยั่งยืนได้ดังประสงค์”








