ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
สัปดาห์นี้จริงๆแล้วจะต้องวิเคราะห์กันต่อถึงพรรคการเมืองที่เหลือ แต่เนื่องจากวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา คนไทยทุกคนได้รับข่าวร้ายที่ทำให้หัวใจสลาย กับการเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้เป็นที่เคารพรักของคนไทยทุกๆคน สัปดาห์นี้ มองโลกเหลียวไทย จึงจะขออนุญาตเป็น EP พิเศษที่ผู้เขียนขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ท่านครับ
เมื่อโลกยุคใหม่ภายหลังสงครามเย็นให้ความสำคัญกับ “Soft Power” ในฐานะยุทธศาสตร์สำคัญในทางการต่างประเทศ หัวข้อดังกล่าวจึงกลายเป็นหนึ่งในหัวข้อคลาสสิคของนักวิเคราะห์สายรัฐศาสตร์การต่างประเทศจำนวนไม่น้อยที่บรรจงวิเคราะห์ Soft Power ของชาติต่างๆ ด้วยจุดประสงค์เพื่อเรียนรู้ การเกิดขึ้น การมีอยู่ การเติบโต รวมถึงการมลายหายไป อาหาร ดนตรี สื่อ แฟชั่น รวมถึงความช่วยเหลือต่างๆ จึงตกอยู่ในสปอตไลท์ของการวิเคราะห์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาทิ อาหารเกาหลี ดนตรีญี่ปุ่น ภาพยนตร์สหรัฐ แฟชั่นฝรั่งเศส รวมถึงการให้ความช่วยเหลือประเทศต่างๆของจีน
อย่างไรก็ดี หากวิเคราะห์กันจริงๆ ย้อนกลับไปในอดีต จะพบได้ว่าแท้จริงแล้ว “อำนาจละมุน” ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย เพราะเรามี “แม่แห่ง Soft Power” ผู้ทรงบ่มเพาะศิลปะ วัฒนธรรม และความงดงามของความเป็นไทยให้เปล่งประกายในสายตาชาวโลกมานานหลายทศวรรษ — นั่นคือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระพันปีหลวง...ผู้ทรงแปรวัฒนธรรมเป็นพลังทางการทูต
ในห้วงเวลาที่โลกกำลังถูกแบ่งขั้วด้วยอุดมการณ์ สงครามเย็นมิได้มีเพียงแค่การแข่งขันกันสะสมอาวุธเท่านั้น แต่ด้านภาพลักษณ์กลับเป็นอีกด้านที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อประเทศเล็กๆอย่างประเทศไทย ที่จำเป็นต้องแสดงออกถึงความเป็นอารยะต่อสังคมชาวโลก ซึ่งในด้านนี้พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพติร และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงทำให้ “การทูต” ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในห้องประชุม หากเกิดขึ้นผ่านรอยยิ้ม วัฒนธรรม และศิลปะแห่งความงามของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศครั้งประวัติศาสตร์ปี ในฐานะ Head of State ในปีพ.ศ. 2503
ในครั้งนั้น พระพันปีหลวงทรงสร้างปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ไม่มีวันลืม พระองค์ทรงนำ “ผ้าไหมไทย” สู่เวทีโลกจนกลายเป็นแฟชั่นชั้นสูง ที่สื่อมวลชนต่างประเทศยกย่องให้เป็น Queen of Silk — คำที่ไม่เพียงสื่อถึงความงาม แต่ยังสื่อถึงความภูมิใจของชาติไทยที่มีเอกลักษณ์ในตัวเอง ผ้าไหมไทยจึงกลายเป็น “วาทกรรมการทูต” แบบหนึ่ง เป็นเครื่องแต่งกายที่พูดแทนประเทศโดยไม่ต้องออกเสียง
พระราชินีในฉลองพระองค์ผ้าไหม คือการบอกแก่ชาวโลกว่า ประเทศไทยมีรากวัฒนธรรมลึก มีความอ่อนช้อย และมีศิลปะแห่งชีวิตที่ละเอียดอ่อน และกล่าวได้ว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นที่คนทั้งโลกรู้จักผ้าไหมไทย
นอกจากนี้ พระพันปีหลวงทรงตระหนักว่าความงามของชาติจะยั่งยืนก็ต่อเมื่อคนไทยทั้งประเทศได้มีส่วนร่วม พระองค์จึงทรงก่อตั้ง “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ” เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น การทอผ้า การปักผ้า การจักสาน และการทำเครื่องเงิน ซึ่งเป็นทั้งการสร้างรายได้และการสร้างศักดิ์ศรีทั้งในเชิงมูลค่าสินค้า และในเชิงการต่างประเทศ กลายเป็นการวางรากฐานของ Cultural Diplomacy หรือ “การทูตวัฒนธรรม” ที่แนบเนียน เพราะสินค้าทุกชิ้นจากโครงการศิลปาชีพ ไม่ได้เป็นเพียงของฝาก แต่เป็น “ทูตวัฒนธรรม” ที่สื่อสารความงามและความภาคภูมิใจของชาติไทยไปทั่วโลก
Soft Power ของพระพันปีหลวงจึงไม่ใช่พลังที่เกิดจากการประชาสัมพันธ์ หากเป็นพลังที่เกิดจาก “ความจริงใจและความงามจากข้างใน” — ความงามที่เกิดจากการนำเอารากเหง้าของชาติมาใช้อย่างภาคภูมิ การเคารพในภูมิปัญญา ความศรัทธาในฝีมือของประชาชน ผสมรวมกันและนำออกสู่สายตาชาวต่างชาติอย่างกลมกล่อม จนได้รับการยอมรับในเวทีการทูตระดับสากล
กล่าวได้ว่า นี่อาจเป็น Soft Power แรกๆของไทยที่มาก่อนกาล
ทุกท่านครับ ในประวัติศาสตร์โลก น้อยครั้งที่สตรีพระองค์หนึ่งจะสามารถเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างชาติได้อย่างลึกซึ้ง พระพันปีหลวงทรงเชื่อมโยงผู้คนด้วยเมตตาและความเข้าใจทั้งในและนอกประเทศ พระองค์ทรงมีพระอัธยาศัยงดงาม ทรงพูดภาษาต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว ทรงมีศิลปะในการสื่อสารกับราชวงศ์ ผู้นำ และสตรีชั้นสูงจากทั่วโลก พระองค์จึงมิใช่เพียงราชินีของไทย แต่ยังเป็น “มิตรแห่งโลก” ผู้ทำให้ประเทศต่าง ๆ มองประเทศไทยด้วยความเคารพและชื่นชม
เมื่อโลกตะวันตกเห็นพระราชินีแห่งผ้าไหมไทย พวกเขาจึงเห็นมากกว่าความงามของผืนผ้า แต่พวกเขาเห็น “ชาติที่มีรากเหง้ายาวนาน” “ชาติที่ภาคภูมิในศิลปะและความเป็นมนุษย์” รวมถึง “ชาติที่มีอารยธรรมยาวนานแต่เปิดกว้างต่อโลกสมัยใหม่”
ในปัจจุบัน ที่ประเทศไทยกำลังหาทางใช้ Soft Power เพื่อส่งออกความคิดสร้างสรรค์ของชาติ สังคมไทยควรย้อนมองพระราชกรณียกิจของพระพันปีหลวงเป็นแบบอย่าง พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า Soft Power มิได้หมายถึงการผลิตสื่อหรือสินค้าสวยงามเท่านั้น แต่คือ “พลังแห่งคุณค่า” (Power of Values) ที่เริ่มต้นจากความรักในความเป็นไทย และขยายออกไปสู่โลกอย่างมีศักดิ์ศรี การส่งออกวัฒนธรรมโดยไม่สูญเสียจิตวิญญาณ คือบทเรียนจากพระพันปีหลวงที่ยังร่วมสมัยอย่างยิ่ง พระองค์ทรงพิสูจน์ว่า ความอ่อนโยนสามารถเป็นพลังการทูตได้ ความงามสามารถเป็นอาวุธได้ และ “ความเป็นไทย” สามารถเป็นภาษาสากลที่เข้าใจได้ทั่วโลก
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ และ คอลัมน์ มองโลกเหลียวไทย by อาจารย์จา








