เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 8 ต.ค. 68 ที่ห้องคอนเฟอเรนซ์ ฮอลล์ ชั้น 2 สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ร่วมงานเวทีสาธารณะด้านหลักนิติธรรม ครั้งที่ 3 (The Third Rule of Law Forum)โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม เข้าร่วมด้วย
โดยนายกฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ความพร้อมของกลไกเชิงสถาบันกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” ตอนหนึ่งว่า ถือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเราทุกคน ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของชาติได้มาทบทวนร่วมกัน และร่วมกันขับเคลื่อนให้หลักนิติธรรมกลายเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นพื้นฐานของความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคตอันใกล้ เขาว่าคำว่าหลักนิติธรรม เป็นคำที่ถูกอ้างถึงบ่อยที่สุด และในขณะเดียวกันเป็นคำที่หลายคนใช้ประโยชน์ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง โดยอ้างคำว่าหลักนิติธรรม
ทั้งนี้ ตนต้องออกตัวก่อนว่าตนไม่ใช่นักกฏหมาย แต่เชื่อในเรื่องของ Rule Of Law หลายคนในที่นี้เคยทำงานร่วมกัน และเมื่อมีความเห็นแย้งเมื่อไร ถ้ามีคนที่อธิบายกับตนได้ในเรื่องของ Law ตนก็จะเชื่อในสิ่งนั้นยึดถือและเชื่อมั่นในกฎหมายในแนวคิดนี้มาโดยตลอดและเชื่อว่าทำให้ความคิดนี้ของตนอยู่รอด และประสบความสำเร็จพอสมควรไม่ว่าจะในสมัยเป็นนักธุรกิจ กระทั่งมารับใช้บ้านเมืองในฐานะที่เป็นนักการเมือง และเป็นรัฐมนตรีที่ต้องมาบริหารราชการแผ่นดิน พื้นหลังตนเป็นวิศวกร นั่นคือการวางรากฐานที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างอาคารโครงสร้างต่างๆ ที่ตนถนัด หรือการก่อตั้งองค์กรใดๆหรือการพัฒนาใดๆตนจะความสำคัญของเรื่องรากฐานที่มั่นคงก่อนเสมอ และในความเป็นวิศวกรนั้น ตนเชื่อว่าหลักความยุติธรรม เป็นเสมือนเสาเข็มที่สำคัญของทุกสังคม
นายกฯ กล่าวต่อว่า นอกจากจะต้องมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตในแต่ละวันแล้วเราต้องมีกฎหมายเป็นที่พึ่ง และกฎหมายต้องอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกคน โดยภาษาไทยยังไม่บัญญัติศัพท์ให้คนเข้าใจง่ายและเกิดความมั่นใจ แต่ตนได้มีโอกาสไปศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และคำว่า justice for all มันบรรยายได้หมดว่าเป็นความยุติธรรมสำหรับทุกคน ตนใส่มาในหัวโดยตลอด เมืองไทยไม่มีคำศัพท์ง่ายๆเช่นนี้ ตนอยากให้บัญญัติคำศัพท์เช่นนี้ และอาจจะอยู่ในรัฐธรรมนูญด้วยให้ทุกคนอ่านแล้วเข้าใจ และต้องเชื่อมั่นกฎหมายบางทีอ่านเข้าใจ แต่บางครั้งเชื่อมั่นกันหรือเปล่า เพราะคนตัดสิน อีกคนมาตัดสินแบบนี้อีกคนออกซ้าย อีกคนออกขวา ถ้ามีอำนาจอยู่ก็จะโดนอย่างนี้ ถ้าไม่มีอำนาจก็จะโดนอย่างนั้น ไม่มีใครทราบและรู้สึกเรื่องเหล่านี้ได้ดีเท่ากับตนหรืออาจจะ บอกว่าพวกตนก็ได้ ถ้าใครติดตามข่าวก็จะเห็นว่า
“วันนี้สิ่งที่คนกลัวกันนักหนา กลัวกันหนาว่าพวกผมจะมาใช้อำนาจในการ justice for some(ความยุติธรรมสำหรับบางคน)ในรัฐบาลผม ผมให้คำยืนยัน ไม่ใช่เฉพาะแค่ที่นี่ที่เดียว แต่ในรัฐสภาต่อหน้าสมาชิกรัฐสภาว่า สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลที่ผมเป็นหัวหน้าอยู่ จะปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปตามครรลองที่มันควรจะเป็น มนุษย์ทุกคนต้องการความเป็นธรรม ซึ่งรวมถึงท่านทั้งหลายในที่นี้และผมด้วย” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า ในองค์กรต่างๆก็เช่นเดียวกัน ถ้าสมาชิกในองค์กรนั้นรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมก็จะมีการแสดงออกหลายอย่างและเมื่อความเป็นธรรมไม่เกิดมันจะเกิดการจลาจล ฉะนั้นการมองไปตั้งแต่ความยุติธรรมสำหรับทุกคนตั้งแต่ที่บ้านที่ทำงาน เข้าสู่สังคมและอยู่ในการบริหารประเทศ ถ้าไม่มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผลคือความจลาจล ความวุ่นวาย ความยุ่งเหยิง ไม่มีใครในประเทศไทยหรือประเทศใดในโลกที่จะต้องการสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นความเป็นธรรม จึงเป็นรากฐานของความเป็นประโยชน์สุขในสังคม ประเทศใดในโลกจะแข่งขันได้อย่างยั่งยืน หากขาดหลักนิติธรรมที่มั่นคง การสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรงต้องอาศัยกฏหมายที่มีความมั่นคง
และแน่นอนการคาดเดาจากนักลงทุนที่เราต้องการชักชวนเข้ามาและสังคมที่สงบสุข ที่จัดตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นว่ากฎหมายทั้งหลายในประเทศนั้นๆจะถูกใช้เพื่อความเป็นธรรมของบรรดาสมาชิก หรือ stakeholder (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) ทุกคน ทั้งนี้ หลักนิติธรรมสำหรับตนความจริงไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือเรื่องของวัฒนธรรมแห่งความเป็นธรรมที่จะต้องปลูกฝังให้มีอยู่ในทุกสังคม เพื่อให้เรามีกฎหมายที่เป็นธรรม และระบบที่ทุกคนให้ความเชื่อมั่นและยึดถือให้คนที่ใช้กฎหมายนั้นยืนหยัดอยู่บนความถูกต้องทุกประการ
นายกฯ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยของเราตอนนี้กำลังประเชิญความท้าทายหลายด้านมาก เป็นภัยความมั่นคง ถ้าใครอยากจะรู้ว่าเป็นภัยหรือไม่ ติดตามตนไปทุกสัปดาห์ ตนยินดีให้ไปดูว่าความมั่นคงประเทศเรามีแสนยานุภาพดีกว่าแน่นอน ดูแล้วรบเมื่อไหร่ก็ชนะ แต่การบริหารสถานการณ์เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไปกลัวโน้นกลัวนี่มาก ก็จะทำให้ความแข็งแรงของเรากลายเป็นความอ่อนแอได้ และสิ่งสำคัญทำให้ประชาชนเชื่อมั่นถึงความพร้อมทุกอย่างของเรา เรื่องของความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น ขาดเสถียรภาพของระบบการเมืองและปัญหากลไกการปกครอง ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ ภัยสังคมจากบริบทของโลกยุคใหม่ มีสแกรมเมอร์หรือคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังคุกคามประเทศไทยอยู่
“หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ควรยึดหลักนิติธรรมอย่างเข้มแข็ง และกล้าหาญในการใช้กฎหมายเพื่อความถูกต้องและเที่ยงธรรม ไม่ถูกครอบงำและชักจูงให้ใช้กระบวนการยุติธรรมมาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรือกลั่นแกล้งบุคคลใดที่คิดว่าเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง ทำอย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี่ไม่ใช่ justice for all แปลว่า ใครก็ช่วย ใครไม่ได้ถ้าคนนั้นผิด และใครจะทำให้คนนั้นผิดไม่ได้ ถ้าเขาถูกเมืองไทยต้องไม่ถึงจุดนี้ และความมั่นคง ความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้าต่างๆมันจะเกิดขึ้นเอง โดยที่เราไม่ต้องคิดว่าจะต้องไปสร้างนิคมอุตสาหกรรมที่ไหน เราแก้ Foundation (พื้นฐาน) คือใช้ Rule by Law อย่างมีประสิทธิภาพ
คนมีอำนาจไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป คนใช้อำนาจผิดคนนั้นก็จะต้องถูกหลักนิติธรรมดำเนินการ อย่าลืมทุกคนเคยได้ยินมาหมดแล้ว ผมก็เอามะพร้าวห้าว มาขายสวน คนจะทำดีจะได้ไม่ต้องเกรงกลัว สิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับประเทศที่จะต้องพัฒนาคือคนเก่ง คนดี ไม่กล้าทำสิ่งที่ดีเพื่อส่วนรวม เพราะกลัวกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ไปทำอันตรายเขา หรือทำเขาไม่ได้ ก็ไปทำคนใกล้ชิด สิ่งเหล่านี้มันกำลังเกิด เรามีหน้าที่ที่จะตัด ไม่ใช่ตัดเฉยๆแล้วไม่ทำอะไร เดี๋ยวมันงอกมาอีก ฉะนั้นต้องตัดให้สิ้นซากหาวิธีทำ eradicate (กำจัด) ความเลวร้ายที่สุดถือเป็นการคอร์รัปชัน ที่เราจะให้มันเกิดขึ้นในประเทศเราไม่ได้“ นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า เรากำลังจะเข้าองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา(OECD) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่ได้มาตรฐาน ทุกคนต้องหาวิธีให้ประเทศไทยเข้าไปเป็นสมาชิกให้ได้ ซึ่งรัฐบาลทุกรัฐบาลสนับสนุน ยกเว้นรัฐบาลที่คอร์รัปชันที่จะวิ่งหนี
“รัฐบาลต้องทำทุกอย่างไม่ให้เกิดช่องโหว่ของกฎหมาย ถ้าพวกผมผิด ตอนเป็นฝ่ายค้านก็ต้องผิด มาเป็นรัฐบาลก็ต้องผิด ต้องดำเนินคดีให้ได้ ไม่ใช่ พอมาอยู่ตรงนี้ช้าลง ท่านอย่าช้า ถ้าใครทำช้าผมเอาเรื่องหนักยิ่งกว่า เพราะผมก็ทนไม่ได้เหมือนกันกับกระบวนการยุติธรรมที่ทำเพื่อวัตถุประสงค์ของคนกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง อย่างนั้นมันยิ่งกว่าเผด็จการ เพราะชี้เป็นชี้ตายคนได้
คนที่ทำอย่างนี้ได้ตอนนี้ในโลก ผมว่าแทบจะไม่เหลือแล้ว ประเทศไทยต้องไม่ยอม ยิ่งไม่ใช่คนที่มีอำนาจสูงสุด เป็นแค่คนธรรมดาที่ประชาชนเลือกมา คุณจะมาชี้เป็น ชี้ตายประชาชนไม่ได้ จะมาชี้เป็นชี้ตายอนาคตและทิศทางของประเทศไม่ได้เป็นอันขาด ผมจะไม่มีวันยอมให้เกิด” นายกฯ กล่าว








