เป็นเวลา “ 33 วัน” ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2568 ที่รัฐสภาโหวตให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 และในวันที่ 7 กันยายน 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ
กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่แม้จะรวบรวมเสียงอย่างไรก็ไม่สามารถมีเสียงในรัฐสภาไปมากกว่า ฝ่ายค้าน อย่างพรรคเพื่อไทยได้ รวมถึงการที่ถูกตีแทรกหน้าว่าเป็น “รัฐบาลส้มอุ้ม” ที่ร่วมกันช่วยส่งให้ อนุทิน ได้นั่งนายกฯ สมใจ กับข้อตกลงที่ให้ไว้กับพรรคประชาชน ทั้งเรื่องการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย
โดยหลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 อนุทิน ในฐานะนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็เริ่มงานแรกทันที ทั้งที่ยังไม่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แม้จะเสียงติติงว่า ทำได้หรือไม่?
- 20 กันยายน
การลงพื้นต่างจังหวัดครั้งแรกของ อนุทิน ในตำแหน่งนายกฯ และรมว. มหาดไทยรวมถึงในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยอนุทินเลือกที่จะไปจังหวัดอ่าง ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคภูมิใจไทย ที่ได้สส.ยกจังหวัด
ได้พบปะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนและตรวจเยี่ยมพื้นที่น้ำท่วม พร้อมกับขอเสียงสนับสนุนให้กับตัวเองและ “ภราดร ปริศนานันทกุล” เจ้าของพื้นที่ ซึ่งมีตำแหน่งในรัฐบาลเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยอนุทิน ยังร่วมกันฉลองวันเกิดให้กับภราดรด้วย
- 24 กันยายน
เกิดเหตุ ถนนบริเวณหน้า โรงพยาบาลวชิรพยาบาลยุบตัวเป็นหลุมขนาดกว้าง นายกฯ ก็ลงพื้นที่ตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ทั้งรอบเช้าและรอบดึก ซึ่งบริเวณดังกล่าว มีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายครั้งนี้
- 27 กันยายน
นายกฯ ลงพื้นที่ตรวจน้ำที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมกับโชว์สเตปพายเรือเยี่ยมผู้ประสบภัย ซึ่ง ซึ่งคือก็เกิดดราม่า เมื่ออนุทินได้เรียก “ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์” สส.เต้ พรรคประชาชน ขึ้นเวที พร้อมกับบอกว่า “เลือกเต้ ให้เต้มาเลือกหนู”
จน สส.เต้ เจ้าตัวต้องออกมาชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ยืนยันให้ชัดเจนว่า “เลือก เต้ ทวิวงศ์ ได้ พรรคประชาชนแน่นอน”
ทั้งนี้การลงพื้นที่อยุธยาครั้งนี้ รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ขึ้นมาเพื่อบูรณาการการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเป็นระบบอีกด้วย
- 29 และ 30 กันยายน
นายกฯ แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อรัฐสภา ถือเป็นการเริ่มต้นการทำงานของรัฐบาล โดยในวันที่ 30 กันยายน อนุทิน ได้ปลีกตัวออกไปทำภารกิจหัวใจติดปีก โดยขับเครื่องบินส่วนตัวไปรับอวัยวะจากผู้บริจาคที่จังหวัดเลยมายังกรุงเทพฯ ก่อนที่จะกลับมานั่งหัวโต๊ะประธานการประชุม ครม. นัดแรกที่สภา
- 1 ตุลาคม
วันแรกหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายกฯ ได้เชิญ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาหารือเรื่องการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนที่ช่วงบ่ายจะมอบนโยบายโครงการสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า และระดับผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
-3 ตุลาคม
นายกฯ ตรวจราชการที่จังหวัดสุรินทร์ โดยไปรับฟังสถานการณ์เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา พร้อมติดตามการเยียวยา พบปะประชาชน หัวหน้าส่วน นายอำเภอ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล และกำนันในพื้นที่ รวมถึงการหารือกับผู้บัญชาการทหารบก
- 4 ตุลาคม
เริ่มต้นด้วยนายกฯ ร่วมกับ พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และหน่วยงานเกี่ยวข้อง แถลงข่าวผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)
จากนั้น อนุทิน ได้บินไปร่วมฉลองวันคล้ายวันเกิด “เนวิน ชิดชอบ” ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อดีตนักการเมืองชื่อดัง ครบ 67 ปี ที่สนามช้างอารีน่า จังหวัดบุรีรัมย์
ก่อนที่ทำหน้าที่นายกฯ ตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการทหารชายแดน และจุดสร้างรั้ว กำแพงชายแดนตามแนวภูมิประเทศที่ ครม. อนุมัติในหลักการ รวมถึงการกำกับดูแลการจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ชายแดน
-5 ตุลาคม
กับภารกิจหัวใจติดปีก พร้อมกับลงพื้นตรวจสถานการณ์น้ำเขื่อนห้วยหลวง และให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบภัย ที่จังหวัดอุดรธานี ก่อนที่ช่วงดึกไปติดตามความคืบหน้าการซ่อมแซมและการรื้อถอนอาคาร สน. สามเสน ที่ได้รับผลกระทบ
กว่า 33 วันที่อนุทิน เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินในฐานะ นายกฯ ตามที่เคยประกาศไว้ว่า แม้มีเวลา 4 เดือน ที่คนอื่นบอกว่าน้อย แต่รัฐบาลภูมิใจไทย ได้ประกาศ 4 เดือน 4 ภารกิจหลักในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง ธรรมชาติและสังคม
ฉะนั้นต้องมาดูว่า การประกาศยุบสภา ของ อนุทิน ในฐานะนายกฯ ที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินเพียง 4 เดือนนับตั้งวันที่ 1 ตุลาคม 2568 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 นั้น จะสามารถทำได้หรือไม่ เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวกำหนดความนิยมของ “พรรคภูมิใจ” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า !







