ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
กว่า 20 ปีที่บันทึกความเข้าใจสองฉบับ — MOU 43 และ MOU 44 — ถูกใช้เป็นกรอบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาในเรื่อง “เขตแดน” และ “ทรัพยากรทางทะเล”แม้เอกสารทั้งสองจะไม่ใช่ “สนธิสัญญา” ที่มีผลบังคับทางกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง แต่ก็เป็นเสมือน “เชือกเส้นบาง ๆ” ที่ผูกพันสองประเทศไว้ด้วยกันทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง
ทว่าผ่านกาลเวลายาวนานถึงสองทศวรรษ สังคมไทยก็เริ่มตั้งคำถามว่า “MOU เหล่านี้ยังตอบโจทย์ผลประโยชน์ของชาติอยู่หรือไม่?” เร็วๆนี้ เราอาจจะได้ลงประชามติเรื่องนี้กันดังที่ข่าวได้ออกมาก่อนหน้านี้ วันนี้ลองมาทำความเข้าใจ ข้อดีและข้อเสียของการยกเลิก MOU ฉบับดังกล่าวกันครับ เผื่อว่าจะเป็นตัวช่วยในการประกอบการตัดสินใจของทุกท่าน ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันครับ
MOU 43 ลงนามเมื่อปี 2543 ว่าด้วย เขตแดนทางบก โดยไทยและกัมพูชาตกลงจะร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนใหม่ โดยอ้างอิงแผนที่สยาม–ฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม พร้อมกำหนดให้ทั้งสองฝ่าย “งดเว้นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายแดน” จนกว่าการสำรวจจะแล้วเสร็จ หนึ่งปีถัดมา MOU 44 เกิดขึ้นว่าด้วย เขตทางทะเล โดยเฉพาะในพื้นที่ “อ้างสิทธิทับซ้อน”หรือ Overlapping Claims Area (OCA) ซึ่งเชื่อว่ามีทรัพยากรก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงจะร่วมกันสำรวจและแบ่งปันผลประโยชน์
ในหลักการ MOU เหล่านี้มีเจตนาดี คือ การสร้างกลไกความร่วมมือแทนการเผชิญหน้า
แต่ในทางปฏิบัติ กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศยังไม่สามารถปักหลักเขตแดนได้ครบ และยังไม่มีการพัฒนาโครงการพลังงานใดในพื้นที่ทะเลทับซ้อนร่วมกันได้สำเร็จ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่ตั้งขึ้นมาก็ทำงานอย่างล่าช้าเพราะความเห็นไม่ตรงกันในหลายจุด เป็นเหมือนพิธีกรรมมากว่าการดำเนินการจริง โดยเฉพาะบริเวณรอบ “ปราสาทพระวิหาร” และ “ภูมะเขือ” ที่กลายเป็นจุดเปราะบางของความสัมพันธ์
จึงกลายเป็นคำถามยอดฮิตที่ตามมาว่า เราได้ประโยชน์จาก MOU เหล่านี้จริงหรือ? และ ได้ประโยชน์อะไร? เพราะภาพมันเบลอเสียเหลือเกิน
คำถาม ณ วันนี้ จึงหนีไม่พ้น หาก “ยกเลิก MOU” — ไทยจะได้หรือเสีย?
แน่นอนว่า การยกเลิก MOU 43–44 ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ แม้จะไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย แต่ย่อมมีผลต่อ “ภาพลักษณ์ทางการทูต” แต่ในอีกมุมมันก็อาจมีข้อดีหลายประการด้วยกัน
ในด้านลบ แน่นอนว่า การขาดกรอบเจรจาอย่างเป็นทางการ จะทำให้ JBC ต้องหยุดทำงานลง ส่งผลให้การจัดทำหลักเขตแดนที่ค้างคาอยู่อาจต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่ และอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางชายแดนที่มากขึ้นเพราะไม่มีเงื่อนไขที่คอยกำหนดอยู่ การเล่นเกมการเมืองแบบโต้กันไปมาจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งถ้ามองว่าฝ่ายกัมพูชามีความตั้งใจจะสร้างความวุ่นวายอยู่แล้วเป็นทุน เมื่อไม่มีกติกาให้ต้องเขินอายอีกต่อไป หลังจากนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นความวุ่นวายรายวัน เพื่อให้สถานการณ์บานปลายไปสู่การเป็นปัญหาของภูมิภาคและระดับสากลในที่สุด ซึ่งก็น่าจะเป็นสิ่งที่กัมพูชาต้องการ
การเป็นเขตที่ไร้ข้อตกลง อาจทำให้เกิดการเคลื่อนกำลังทางทหารหรือสิ่งปลูกสร้างใหม่ได้ง่ายขึ้น เช่น บริเวณพื้นที่รอบเขาพระวิหารและภูมะเขือ รวมไปจนถึงด้านพลังงาน ที่แน่นอนว่าพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกว่า 26,000 ตร.กม. จะถูกแช่แข็งจนกว่าจะมีกรอบใหม่ จนอาจทำให้ไทยเสียโอกาส สุดท้าย ในภาพใหญ่ เราคงหนีไม่พ้นการถูกมองอย่างไม่มั่นใจจากต่างชาติอื่นๆถึงความไม่ต่อเนื่องทางนโยบายการต่างประเทศ โดยเฉพาะถ้าเราเป็นผู้ริเริ่มที่จะยกเลิก และอาจส่งผลให้เกิดการแทรกแซงจากมหาอำนาจได้มากขึ้น (จากที่ก็ไม่ได้น้อยอยู่แล้ว)
ในด้านบวก การยกเลิกก็อาจเป็นการปลดพันธนาการจากกรอบที่ล้าสมัย โดยเฉพาะการใช้แผนที่อ้างอิงจากสมัยอาณานิคมที่ทำให้ไทยเสียเปรียบเป็นทุน และอาจเป็นการเปิดทางให้มีการสร้างกรอบใหม่ที่เท่าเทียมกว่า (หากจะเป็นไปได้) ซึ่งกรอบใหม่อาจนำไปสู่การใช้หลักฐานอ้างอิงที่เป็นธรรมมากขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยี เช่น GPS หรือภาพดาวเทียม แต่ถามว่ายากไหม ยากแน่นอนเพราะกัมพูชาจะทำทุกอย่างเพื่อขัดขวาง
อย่างไรก็ดีการยกเลิกไม่ได้หมายความถึงการตัดสัมพันธ์ทางการทูตซึ่งกันและกัน (แม้จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกนั้นได้ยาก) หากไทยสามารถงัดวิทยายุทธทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศมาทำให้การยกเลิกนำไปสู่การเจรจาใหม่ในกรอบที่เท่าเทียมและเหมาะสมมากกว่าเดิม นี่ก็อาจเป็นโอกาสของไทยที่จะได้แก้ปัญหาเรื่องข้อเสียเปรียบต่างๆที่มาจากข้อตกลงเก่า และแน่นอน การยกเลิกจะทำให้ได้รับคะแนนเสียงอย่างเป็นกอบเป็นกำหากพิจารณาถึงอารมณ์และความรู้สึกของคนในชาติในปัจจุบัน ซึ่งก็อาจส่งผลต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น (หรือไม่) ก็อาจจะพอเป็นไปได้
แท้จริงแล้ว ประเด็นนี้ไม่ใช่เพียงเรื่อง “เขตแดน” หรือ “ทรัพยากร” เท่านั้น แต่นัยยะที่ซ่อนอยู่ คือ อนาคตของนโยบายต่างประเทศไทยต่อเพื่อนบ้าน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ความมั่นคงของนโยบายการต่างประเทศไทยต่อสายตาชาวโลกในระดับหนึ่ง ไทยจะเลือก “รักษาสถานะเดิมเพื่อความนิ่ง” หรือ “กล้าเปิดเจรจาใหม่เพื่อความเท่าเทียม” — คำตอบนี้สะท้อนเป็นทางแยกที่เต็มไปด้วยขวากหนาม และจะเป็นบทพิสูจน์วิสัยทัศน์ของผู้นำโดยตรง
ในโลกที่การเมืองโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ความนิ่งอาจไม่ใช่ความมั่นคงเสมอไป แต่การเปลี่ยนแปลงก็อาจเป็นได้ทั้งบวกและลบเช่นกัน เพราะล้วนเป็น “อนาคต” ที่ไม่มีใครฟันธงได้ หากคนไทยต้องเป็นผู้ตัดสิน ก็หวังว่าทุกท่านจะศึกษาหาข้อมูลกันอย่างจริงจังก่อนลงคะแนนตัดสินอนาคตของชาติ เพราะเรื่องนี้ ไปได้ทั้งสองทาง รวมถึงมีดีและร้ายในทั้งสองทาง
กรุณาตัดสินใจด้วยข้อมูลและสติ...หาใช่อารมณ์
เอวัง








