น.ส.ตรีนุช เทียนทอง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนการปรับสิทธิประโยชน์ของแรงงานนอกระบบจึงเป็นเรื่องที่มีความหมายมากกว่าเพียงการเปลี่ยนตัวเลขในกฎหมาย
มาตรการสำคัญที่ตรีนุชประกาศปรับปรุงคือการเพิ่มสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเงินทดแทนกรณีทุพพลภาพจาก 1,000 บาทเป็น 3,000 บาทต่อเดือน การเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 200 บาทเป็น 300 บาทต่อบุตร และการปรับค่าทดแทนการขาดรายได้จากการรักษาพยาบาลจาก 50 บาทเป็น 200 บาทต่อครั้ง
สิ่งเหล่านี้อาจดูเป็นการขยับขึ้นเล็กน้อยหากมองจากมุมของชนชั้นกลางในเมืองใหญ่ แต่สำหรับแรงงานนอกระบบ เงินไม่กี่ร้อยบาทอาจหมายถึงโอกาสในการพาลูกไปหาหมอ หมายถึงการซื้ออาหารเลี้ยงครอบครัว หรือแม้กระทั่งหมายถึงการยืดเวลาการอยู่รอดออกไปได้อีกหนึ่งสัปดาห์

การปรับเพิ่มดังกล่าวจึงไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่เป็นการเพิ่มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลไม่ทอดทิ้งแรงงานกลุ่มนี้
ที่สำคัญคือ การขับเคลื่อนของตรีนุชไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว
หากแต่มีพลังสนับสนุนที่สำคัญจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผู้ซึ่งย้ำมาโดยตลอดว่าพรรคต้องยืนอยู่เคียงข้างประชาชน
การหนุนหลังของลุงป้อมทำให้มั่นใจได้ว่าการปรับสิทธิประโยชน์จะไม่หยุดอยู่ที่นโยบายบนเวที
แต่จะได้รับการจัดสรรงบประมาณ ได้รับการผลักดันในสภา และได้รับการปฏิบัติจริงจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องแรงงานนอกระบบกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศไม่เพียงเป็นฐานเสียงสำคัญในเชิงการเมือง
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขาคือหัวใจของสังคมไทย ทุกครัวเรือนมีสมาชิกที่อยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ ชาวนา คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือแม่ค้าขายอาหารริมทาง
หากย้อนมองตั้งแต่วันแรกที่ลุงป้อมเข้าสู่สนามการเมือง เขามักย้ำเสมอว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องของตำแหน่งหรือเก้าอี้ แต่คือการสร้างความมั่นคงให้ประชาชน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเสียงและไม่มีโอกาสพูดในเวทีสาธารณะ
บทบาทของตรีนุช เทียนทอง ภายใต้การหนุนหลังของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพรรคพลังประชารัฐ ไม่เพียงแต่ทำให้แรงงานนอกระบบมีหลักประกันชีวิตที่มั่นคงขึ้น แต่ยังทำให้สังคมไทยโดยรวมได้รับสัญญาณว่า “รัฐบาลไม่ทอดทิ้งประชาชน” และยิ่งตอกย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ใช่เพียงเครื่องจักรทางการเมือง แต่คือพลังที่พร้อมจะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าด้วยหัวใจของประชาชนอย่างแท้จริง